เกษตรไทยท่ามกลางกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ได้เปรียบ

Loading

ภาคเกษตรไทยเผชิญความท้าทายหลายประการ เริ่มตั้งแต่ที่ดินทำกิน โดยครัวเรือนเกษตรจำนวนมากต้องเช่าที่ดิน ปัญหาการขาดแคลนน้ำ มีพื้นที่ชลประทานเพียงร้อยละ 23.3 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งประเทศ เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นรายย่อยและมีพื้นที่ทำการเกษตรขนาดเล็ก จึงมีต้นทุนการบริหารจัดการสูง ปัญหาปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตรมีราคาสูง (เช่น ปุ๋ยเคมี ยากำจัดศัตรูพืช และค่าแรงงาน) การขาดนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรใหม่ๆ ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

สินค้าเกษตรส่งออกของไทยขาดความหลากหลาย (ในปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตร 5 รายการแรก คือ ผลไม้ ข้าว ไก่ มันสำปะหลัง และยางพารา รวมกันมีมูลค่ากว่า 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วนเกือบร้อยละ 90 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย) และเกษตรกรไทยมีอายุเฉลี่ยสูง แรงงานวัยหนุ่มสาวไหลออกจากภาคเกษตร ทำให้ภาคเกษตรของไทยขาดการสานต่อและขาดการพัฒนา

นอกจากนี้ ยังมีกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่โลกให้ความสำคัญมากขึ้นกับปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคเกษตร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าสินค้าเกษตรของไทยหากไม่เร่งปรับตัว ทั้งนี้ ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 รองจากภาคพลังงาน มีสัดส่วนร้อยละ 15 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งประเทศ (ภาคพลังงาน ปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 70 ของการปล่อยทั้งประเทศ)

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงการติดตามสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรไทย เห็นว่าการดำเนินนโยบายของภาครัฐในการดูแลราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะนโยบายการอุดหนุนภาคเกษตร ต้องมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคเกษตรของไทย โดยการอุดหนุนภาคเกษตรต้องมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และช่วยให้ภาคเกษตรไทยสามารถปรับตัวรองรับกับความท้าทายใหม่ๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตร การศึกษาวิจัยและพัฒนา (เช่น ด้านเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อปรับปรุงพันธุ์) การให้บริการเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การเกษตรโดยภาครัฐ (เช่น โดรนเพื่อการเกษตรช่วยประหยัดแรงงาน ช่วยทุ่นแรง และประหยัดเวลา) การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรใหม่ๆ (เช่น การทำฟาร์มดิจิทัลที่ช่วยยกระดับการบริหารจัดการปัจจัยการผลิต รู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพพืช ความต้องการน้ำ สภาพดิน และสภาพอากาศ เพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เพิ่มและพัฒนาคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร) ตลอดจนการอุดหนุนเพื่อการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (สนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานโซลาร์เซลล์กับระบบปั๊มน้ำ)

การลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรไทย ในปี 2566 ประเทศไทยนำเข้าปุ๋ย ปริมาณ 5.14 ล้านตัน (มูลค่า 2,256.25 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยปริมาณการนำเข้าขยายตัวสูงถึงร้อยละ 22.08 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จะเห็นได้ว่าภาคเกษตรเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตสูง อีกทั้งราคาปัจจัยการผลิตมีความผันผวนมากขึ้นจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ประเทศไทยต้องพยายามพึ่งพาตนเองมากขึ้น และภาครัฐต้องเร่งส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (เช่น การใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน เพื่อลดต้นทุนการผลิต) กำกับดูแลราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคเกษตรกรรม (เช่น ปุ๋ยเคมี และบริการทางการเกษตร) ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม ตลอดจนส่งเสริมธุรกิจบริการทางการเกษตร โดยเฉพาะที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก เพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร

คุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับสินค้าเกษตรที่ผลิตเพื่อการส่งออก สินค้าเกษตรของไทยหลายชนิด โดยเฉพาะผลไม้ มีปริมาณการส่งออกในสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับการบริโภคในประเทศ เช่น ทุเรียนสด (ปี 2566 ส่งออกร้อยละ 67 ของปริมาณผลผลิต โดยมีผลผลิต 1.48 ล้านตัน ส่งออก 0.99 ล้านตัน) มังคุดสด (ปี 2566 ส่งออกร้อยละ 93 ของปริมาณผลผลิต โดยมีผลผลิต 0.27 ล้านตัน ส่งออก 0.25 ล้านตัน) ที่สามารถผลิตได้เกินปริมาณที่ตลาดภายในประเทศจะดูดซับได้หมด ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ยังมีความต้องการนำเข้า ดังนั้น การผลิตให้สินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพและมาตรฐานตามที่ประเทศคู่ค้าต้องการ จะช่วยแก้ปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ำได้

ทั้งนี้ การดำเนินการของรัฐบาลได้มุ่งยกระดับสินค้าเกษตร พัฒนาภาคเกษตรตั้งแต่ระดับฐานราก ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เช่น เร่งผลักดันพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ การเชื่อมโยงปุ๋ยราคาถูกให้เกษตรกรผ่านสถาบันเกษตรกร สนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เข้าถึงการใช้เทคโนโลยีและทำการตลาดยุคดิจิทัล ส่งเสริมการแปรรูปผลไม้ด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนการบริหารจัดการสินค้าเกษตรให้สอดคล้องระเบียบการค้าโลกและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมสากล ตลอดจนจับมือกับภาคเอกชนผลักดันการส่งออก และทำให้ตลาดส่งออกแข็งแรง

ภาคเกษตรเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย (จำนวนประชากรภาคการเกษตร 30.65 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 46.38 ของประชากรทั้งประเทศ) หากภาคเกษตรแข็งแกร่งก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง สามารถรองรับความผันผวนจากภายนอกได้ดีขึ้น และเพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรไทยสู่เกษตรยุคใหม่ การอุดหนุนภาคเกษตรต้องดำเนินการให้ถูกวิธีโดยมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และไม่ทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกตลาด รวมทั้งการลดต้นทุนปัจจัยการผลิต การเพิ่มผลผลิต และการดูแลคุณภาพมาตรฐานของสินค้าเกษตร จะทำให้ภาคเกษตรกรรมไทยพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูล

https://www.salika.co/2024/03/02/thai-agriculture-and-environmental-protection/


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210