ในบริบทที่เศรษฐกิจโลกและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สงครามการค้าสร้างความปั่นป่วนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
คำถามสำคัญสำหรับประเทศไทยคือ เราจะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร?
ประเทศไทยได้เริ่มปฏิรูประบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ในปี 2562 ด้วยการจัดตั้งกระทรวงใหม่ และออกกฎหมายปฏิรูปที่สำคัญ 4 ฉบับ เพื่อให้ระบบ อววน. เป็นกลไกหลักในการสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
แต่ทว่าผ่านไปกว่า 5 ปี ระบบ ววน. ที่สร้างขึ้นยังไม่สามารถสร้างผลกระทบได้ชัดเจนตามที่มุ่งหวังโดยเฉพาะการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เป้าหมายของระบบ ววน. ที่ประเทศไทยพึงปรารถนาคือ ระบบที่สร้างประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง ทั้งใน ด้านเศรษฐกิจ เช่น พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรมูลค่าสูง และสร้างอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต ด้านสังคม เช่น รับมือสังคมสูงอายุ และลดความเหลื่อมล้ำ และ ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ลด PM 2.5 และรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งต้องการการประสานงานในหลายด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น สร้างนวัตกรรม สร้างนักวิจัยที่เก่ง พัฒนาตลาดในและต่างประเทศ ลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบ ช่วยดึงดูดการลงทุน สร้างความเข้มแข็งแก่ภาคธุรกิจและชุมชน ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
แม้มีการลงทุนกว่า 9 หมื่นล้านบาทผ่านกองทุนส่งเสริม ววน. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่โครงการจำนวนมากยังไม่สามารถสร้างผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากขาดความเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ และไม่ครอบคลุมการสนับสนุนงานวิจัยที่มีระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (TRL) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นปลาย และส่วนใหญ่มักเป็นโครงการขนาดเล็ก
ระบบ ววน. ของไทยยังมีช่องว่างในทุกระดับ ได้แก่ ระดับนโยบาย นโยบายและวิสัยทัศน์ไม่ชัดเจนผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ มีสัดส่วนผู้ใช้จริงจากภาคเอกชนน้อยมากและขาดการติดตามและประเมินผลนโยบาย
ยุทธศาสตร์ แผน ววน. ระดับจัดทำแผนและจัดสรรงบประมาณ บทบาทของคณะกรรมการส่งเสริม ววน. (กสว.) มีส่วนซ้ำซ้อนกับสำนักงานสภานโยบายฯ (สอวช.) ทำให้ไม่มีเอกภาพด้านนโยบายและโครงสร้าง กสว. ก็ไม่มีองค์ประกอบผู้ใช้อย่างชัดเจน ระดับบริหารและจัดการทุน หน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) หลายแห่งยังไม่สามารถบริหารจัดการเชื่อมโยงการวิจัยสู่การใช้งานจริงและยังจัดสรรงบประมาณให้แก่ภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเป็นผู้ใช้หลักน้อยเกินไป ระดับทำวิจัยและสร้างนวัตกรรม หน่วยงานวิจัยส่วนใหญ่เน้นผลงานตีพิมพ์วิชาการ
บทเรียนต่างประเทศจากการศึกษาของ OECD (2012, 2021) ชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่สำเร็จในการดำเนินนโยบายนวัตกรรมมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่
1.มียุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ระดับชาติที่ชัดเจน
2.มีหน่วยงานกลางหรือกระทรวงที่รับผิดชอบด้านนวัตกรรมโดยเฉพาะ
3.มีการประเมินและทบทวนนโยบายอย่างต่อเนื่อง
4.มีองค์กรด้านนโยบายระดับสูงที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยรูปแบบขององค์กรด้านนโยบายที่หลายประเทศให้ความสนใจอย่างมากคือ โมเดลที่เน้นวางแผน ซึ่งมุ่งเน้นภารกิจ (Mission-oriented) ที่ชัดเจนเพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ เช่นในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ที่องค์กรด้านนโยบายทำหน้าที่เสมือน “กระทรวงนวัตกรรม” ที่รวมคนจากหลายกระทรวงร่วมวางแผนและขับเคลื่อนนโยบายที่มีความสอดคล้องกัน มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างตรงเป้าหมายและลดความซ้ำซ้อนของภารกิจ
ประเทศไทยสามารถเรียนรู้และปรับใช้แนวทางนี้ได้ โดยมีข้อเสนอแนะหลัก 6 ประการ ได้แก่
1.กำหนดโจทย์ที่ชัดเจนและเน้นผลกระทบจริงโดยสภานโยบายฯ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้นำระดับสูง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่เห็นความสำคัญของ ววน. ขณะเดียวกัน ประชาคม ววน. เองต้องแสดงผลกระทบจากงานวิจัยให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อทำให้ผู้นำยอมรับและเห็นความสำคัญ
2.แยกบทบาทให้ชัดเจนระหว่างสำนักงานสภานโยบายฯ (สอวช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับนโยบาย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม ววน. (สกสว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติในภาพรวม โดย สอวช. ควรจัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้าน ววน.
ขณะที่ สกสว. ควรจัดทำแผนปฏิบัติการ จัดสรรงบประมาณ และประสานงานระหว่างกระทรวงในการจัดทำแผนปฏิบัติการและสนับสนุนการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง
3.เพิ่มสัดส่วนของภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเป็นผู้ใช้งานจริงในสภานโยบายฯ และ กสว. โดยคัดเลือกจากภาคธุรกิจเอกชนที่มีความรู้ ความสามารถ หรือประสบการณ์ในการบริหารสร้างนวัตกรรมที่ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นที่ประจักษ์
4.แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผน เพื่อรายงานผลต่อสภานโยบายฯ และมอบหมายให้มีสำนักงานติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผน
ซึ่งมีหน้าที่จัดทำแผนและดำเนินการประเมินผลก่อนและหลังดำเนินงานเผยแพร่ผลลัพธ์ของโปรแกรมต่อสาธารณะถอดบทเรียนและจัดทำข้อเสนอแนะ และศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของโปรแกรมขนาดใหญ่
5.ปรับหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) หรือโปรแกรมให้สอดคล้องกับภารกิจ เช่น
-โปรแกรมที่เน้นภารกิจ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการใช้งานจริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจหรือสังคม โดยไม่แบ่งตาม TRL เช่น แก้ปัญหา PM 2.5 หรือสร้างอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคตและควรมีผู้ใช้ (ภาคธุรกิจเอกชน) เป็นพันธมิตรหลักหรือผู้จัดการโปรแกรม
-PMU ที่เน้นสมทบเงินกับธุรกิจเอกชน ซึ่งมีระเบียบการพิจารณาที่รวดเร็วและโปร่งใส และผู้จัดการ PMU ควรมีทักษะทั้งด้านธุรกิจและเทคโนโลยี
-PMU ที่เน้นวิจัยพื้นฐาน ซึ่งมีผลผลิตหรือผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น งานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่มีคุณภาพและการอ้างอิงในระดับนานาชาติ หรือการสร้างผลกระทบเชิงนโยบายหรือนำงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ในสังคม
6.สนับสนุนให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชนรวมตัวกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการสะท้อนความต้องการด้านนวัตกรรม โดยจัดตั้งคล้ายคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ด้านนวัตกรรม
ท้ายที่สุด ประเทศไทยไม่ขาดงบประมาณหรือบุคลากร แต่ขาดระบบที่เชื่อมโยงและมียุทธศาสตร์ร่วม ดังนั้นการปรับระบบ ววน.ให้ตอบโจทย์ประเทศอย่างแท้จริง โดยยึดหัวใจสำคัญของการเชื่อมโยงกับผู้ใช้ ตลอดจนประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน และการมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และมีเจตนารมณ์ทางการเมืองที่มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม จึงไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นเงื่อนไขจำเป็นที่ทำให้ระบบ ววน.สามารถเป็นกลไกหลัก ในการสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้อย่างที่มุ่งหวัง
แหล่งข้อมูล