SCB ผลักกระแสเมตาเวิร์ส ลุยวงการแพทย์ รักษาทางไกลผ่าน Telemedicine และ AI

Loading

SCB ได้บุกตลาดการแพทย์ออนไลน์ โดยใช้เมตาเวิร์สหรือโลกเสมือนจริงเพื่อช่วยให้การใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Telemedicine นั้นเข้ามาช่วยในการรักษาผู้ป่วยในอนาคต

เมตาเวิร์สกับบทบาทในวงการแพทย์

เมตาเวิร์ส คืออะไร? หากพูดถึงเทรนด์เทคโนโลยีที่จะส่งผลต่อโลกธุรกิจในระยะข้างหน้า หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น Metaverse ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทในเชิงธุรกิจมากขึ้นในหลากหลายวงการ ธุรกิจบริการทางการแพทย์ (Healthcare) ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถนำเอา Metaverse มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบของการให้บริการทางการแพทย์บนโลกเสมือน ซึ่งนำมาสู่การให้บริการรักษาพยาบาลจริงได้มากขึ้น โดย Metaverse จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้จากรายงาน Accenture Digital Health Technology Vision 2022 ที่มีการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารธุรกิจ Healthcare จาก 10 ประเทศทั่วโลกพบว่า 81% เห็นว่า Metaverse จะมีประโยชน์ต่อวงการ Healthcare เป็นอย่างมาก

โดยราวครึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่า Metaverse จะเข้ามามีบทบาททำให้วงการแพทย์มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ Technavio ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านการตลาดชั้นนำของโลกประมาณการว่า Metaverse จะถูกนำมาใช้ในธุรกิจ Healthcare เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเติบโตราว 34% ต่อปีในช่วงปี 2021-2026

การประยุกต์ใช้เมตาเวิร์สกับบริการ Telemedicine

Metaverse เป็นหนึ่งในช่องทางสำคัญที่จะช่วยต่อยอดการรักษาพยาบาลทางไกลหรือ Telemedicine ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งตามปกติจะดำเนินการผ่าน VDO call หรือโทรศัพท์ แต่ในระยะต่อไป ผู้ให้บริการสุขภาพมีแนวโน้มจะประยุกต์ใช้ Metaverse ในการให้บริการ Telemedicine มากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่ผ่านทางเทคโนโลยี VR (Virtual reality) หรือ AR (Augmented reality) เท่านั้น แต่จะเป็นการหลอมรวมเอาเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ มาผนวกกับการนำเอา AI (Artificial intelligence) เข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้เสมือนจริงมากขึ้น จากการมีปฏิสัมพันธ์ของแพทย์ ผู้ป่วย รวมถึงมีการใช้เครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นเหมือนการจำลองโรงพยาบาลเสมือนจริง (Virtual hospital) ไว้บน Metaverse และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดความผิดพลาดที่เกิดจากตัวคน (Human error) อีกด้วย

การให้บริการด้านสุขภาพบน Metaverse อาจจะมีรูปแบบของบริการทั้งการให้คำปรึกษา การอธิบายขั้นตอนการรักษาแบบเสมือนจริงให้กับผู้ป่วย โดยอาจอยู่ในรูปของ 3D videos ที่ช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น อย่างเช่นการเตรียมการผ่าตัด ซึ่งทีมแพทย์สามารถอธิบายขั้นตอนการรักษาให้กับผู้ป่วยได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายมากขึ้น ตลอดจนการให้การรักษาในรูปแบบของ Physiotherapy ผ่านกล้อง ซึ่งจะช่วยให้สามารถติดตามอาการทางกายภาพต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น เคสการผ่าตัดกระดูก แพทย์สามารถติดตามอาการโดยดูลักษณะการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยผ่านกล้องได้ในรูปแบบ 3 มิติ นอกจากนี้ ข้อมูลอาการของผู้ป่วยจะถูกส่งตรงไปยังแพทย์ผู้ให้การรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลดภาระของผู้ป่วยในการเดินทางไปโรงพยาบาล อีกทั้ง ยังไม่มีข้อจำกัดสำหรับการใช้บริการข้ามพรมแดน

นอกเหนือจากการนำเอา Metaverse มาใช้ในการรักษาพยาบาลในรูปแบบ Virtual แล้ว Metaverse ยังมีประโยชน์สำหรับการใช้ในการศึกษาและเรียนรู้เทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ อาทิ Cloud gaming technology ซึ่งจะช่วยให้แพทย์จากทั่วทุกที่สามารถฝึกหัดเรียนรู้วิธีการรักษาใหม่ ๆ พร้อมกัน หรือแม้แต่การฝึกหัดผ่าตัดผ่านคนไข้เสมือนจริง (Virtual patient) โดยมีการจำลองเนื้อเยื่อ ของเหลวในร่างกายต่าง ๆ  ไว้บน Cloud ทั้งนี้เทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองและวัตถุเสมือน (Digital twin) ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีหลายอย่าง อาทิ AI, IoT รวมถึง Cloud computing จะถูกนำมาใช้ในการสร้างคนไข้เสมือนจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลการรักษาและนำเอามาวิเคราะห์เพื่อใช้อ้างอิงการรักษาในเคสที่คล้ายคลึงกันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการเรียนรู้ผ่าน Metaverse อาจจะอยู่ในรูปแบบการรักษาคนไข้รายคนหรือรูปแบบของการประชุมวิชาการทางการแพทย์ทางออนไลน์ โดยมีแพทย์เฉพาะทางในแต่ละด้านเป็นผู้สอน หรือแม้แต่การสอนการใช้เครื่องมือแพทย์ใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้ทางการแพทย์กว้างขวางมากขึ้น

ความท้าทายของ Metaverse ในวงการ Healthcare

แต่ความท้าทายของการนำเอา Metaverse มาใช้ในวงการ Healthcare มีหลายด้านคือ

1 ต้นทุนการใช้งานยังค่อนข้างสูง ตั้งแต่ราคาของอุปกรณ์สวมใส่ ทั้งแว่นตา กล้อง เซนเซอร์ ซึ่งผู้ป่วยทั่วไปยังไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีสูงและราคาแพง ดังนั้น ในการใช้งานจริง อาจจะยังจำกัดอยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลที่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง ตลอดจนเน้นการใช้งานสำหรับการวิจัยและพัฒนาบุคลากรการแพทย์ก่อน

2 ข้อจำกัดในการเข้าถึงผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย เนื่องจากต้องอาศัยเทคโนโลยีหลายอย่างประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานเทคโนโลยีบางอย่างที่อาจเข้าถึงได้ยาก โดยเฉพาะการใช้งานในกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้น การพัฒนาแอปพลิเคชันให้ใช้งานได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อนจนเกินไปจึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้มีผู้ใช้งานได้แพร่หลายมากขึ้น นอกจากนี้

3 ความกังวลในด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวยังเป็นข้อจำกัดสำคัญของการนำเอา Metaverse มาใช้ เนื่องจากการรักษาผ่านช่องทาง Virtual จะต้องมีการส่งผ่านข้อมูลต่าง ๆ บน Cloud อาทิ ข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคลและประวัติการรักษาพยาบาล หรือแม้แต่ข้อมูลการวิจัยและเทคโนโลยีการรักษา ดังนั้น การส่งผ่านข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องการรักษาความลับและความปลอดภัย อาจจะต้องมีการนำเอาเทคโนโลยี Block chain เข้ามาช่วยเพื่อให้เกิดความมั่นใจในด้านความปลอดภัยของข้อมูล

ขณะเดียวกันกฎระเบียบเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะข้อมูลการรักษาพยาบาลที่มีความอ่อนไหวและต้องการความปลอดภัยสูงจะต้องครอบคลุมไปถึงการเปิดเผยและส่งข้อมูลผ่านทางออนไลน์เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการใช้งานเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้จากความท้าทายที่เป็นข้อจำกัดของ Metaverse

ดังนั้นในการนำเอา Metaverse มาใช้ในช่วงแรก อาจจะเริ่มเน้นการใช้งานด้านการศึกษาและวิจัยก่อน แล้วจึงค่อยขยายมาสู่การใช้งานในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยเน้นความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเพื่อเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีราคาที่ถูกลง ตลอดจนเน้นการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการรู้จัก เรียนรู้หรือทดลองใช้งานก่อนที่จะมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในระยะต่อไป

แหล่งข้อมูล

https://www.springnews.co.th/digital-tech/metaverse/832321


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210