ล่าสุด นักวิจัยจาก MIT หรือสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ บอกว่า พวกเขาค้นพบวิธีที่ทำให้รถยนต์ ไม่ต้องมาหยุดรอตรงแยกไฟแดงนาน ๆ เพื่อลดปัญหาการจราจรที่ติดขัด
โดยปัญหาที่ว่า คือสิ่งที่คนขับรถทุกคน รู้ดีว่าการที่รถติดมาก ๆ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น รวมถึงยังเสียเวลา และเปลืองน้ำมัน และยังเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่อากาศมากขึ้นด้วย ซึ่งทาง MIT บอกว่า แนวคิดในการแก้ปัญหารถติด คือการใช้ AI ในการควบคุมความเร็วของรถยนต์ให้ช้า และเร็วขึ้น เพื่อให้ตรงกับระยะเวลาที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นไฟเขียวได้พอดี
ทั้งนี้ พวกเขาก็ได้ทำการทดลองอัลกอริทึมที่ใช้ในการควบคุมบนแบบจำลองที่สร้างขึ้นมา กับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ พบว่า เมื่อรถยนต์เข้าใกล้ทางแยก มันไม่ได้ทำให้จราจรติดขัดจนถึงขั้นต้องหยุดอยู่กับที่ หรือที่เรียกว่าการจราจรแบบ stop-and-go (หยุดนิ่ง แล้วค่อยไป) ที่จะทำให้เสียพลังงานเยอะขึ้น แต่จะเป็นลักษณะการชะลอความเร็วแล้วค่อย ๆ ไหลไป
นอกจากนี้ ในการทดลองยังพบว่ามีจำนวนรถยนต์ที่สามารถผ่านแยกจราจรไปได้ มากขึ้นกว่าการทดลองที่ใช้มนุษย์ควบคุมรถยนต์ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า มันทำให้เราประหยัดพลังงานได้มากขึ้น และปล่อยก๊าซพิษขึ้นไปบนอากาศน้อยลง
เห็นได้ชัดว่า ระบบนี้น่าจะใช้ได้ผลดีกับรถยนต์ที่เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเท่านั้น เนื่องจากคงไม่สามารถเข้าควบคุมรถยนต์บนท้องถนนที่ใช้คนขับปกติได้ โดยทางนักวิจัยจาก MIT บอกว่า ถ้ายานพาหนะทั้งหมดบนถนน เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แล้วเชื่อมต่อกับระบบของพวกเขา จะสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงไปได้ 18%, ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 25% และความเร็วเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นถึง 20%
ที่น่าสนใจคือ ถึงแม้จะมีรถยนต์ขับเคลื่อนอัติโนมัติเพียง 2% บนท้องถนน ก็ยังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้มากพอสมควรแล้ว
ก็ต้องติดตามกันต่อไปในอนาคต ว่าจะมีประเทศไหนนำระบบนี้ไปนำร่องหรือไม่ เพราะตอนนี้ในหลาย ๆ ประเทศ ก็เริ่มมีการใช้รถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ มาปรับใช้กับรถประจำทางบ้างแล้ว เช่น ในจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ
แหล่งข้อมูล
แมสซาชูเซตส์ บอกว่า พวกเขาค้นพบวิธีที่ทำให้รถยนต์ ไม่ต้องมาหยุดรอตรงแยกไฟแดงนาน ๆ เพื่อลดปัญหาการจราจรที่ติดขัด
โดยปัญหาที่ว่า คือสิ่งที่คนขับรถทุกคน รู้ดีว่าการที่รถติดมาก ๆ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น รวมถึงยังเสียเวลา และเปลืองน้ำมัน และยังเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่อากาศมากขึ้นด้วย ซึ่งทาง MIT บอกว่า แนวคิดในการแก้ปัญหารถติด คือการใช้ AI ในการควบคุมความเร็วของรถยนต์ให้ช้า และเร็วขึ้น เพื่อให้ตรงกับระยะเวลาที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นไฟเขียวได้พอดี
ทั้งนี้ พวกเขาก็ได้ทำการทดลองอัลกอริทึมที่ใช้ในการควบคุมบนแบบจำลองที่สร้างขึ้นมา กับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ พบว่า เมื่อรถยนต์เข้าใกล้ทางแยก มันไม่ได้ทำให้จราจรติดขัดจนถึงขั้นต้องหยุดอยู่กับที่ หรือที่เรียกว่าการจราจรแบบ stop-and-go (หยุดนิ่ง แล้วค่อยไป) ที่จะทำให้เสียพลังงานเยอะขึ้น แต่จะเป็นลักษณะการชะลอความเร็วแล้วค่อย ๆ ไหลไป
นอกจากนี้ ในการทดลองยังพบว่ามีจำนวนรถยนต์ที่สามารถผ่านแยกจราจรไปได้ มากขึ้นกว่าการทดลองที่ใช้มนุษย์ควบคุมรถยนต์ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า มันทำให้เราประหยัดพลังงานได้มากขึ้น และปล่อยก๊าซพิษขึ้นไปบนอากาศน้อยลง
เห็นได้ชัดว่า ระบบนี้น่าจะใช้ได้ผลดีกับรถยนต์ที่เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเท่านั้น เนื่องจากคงไม่สามารถเข้าควบคุมรถยนต์บนท้องถนนที่ใช้คนขับปกติได้ โดยทางนักวิจัยจาก MIT บอกว่า ถ้ายานพาหนะทั้งหมดบนถนน เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แล้วเชื่อมต่อกับระบบของพวกเขา จะสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงไปได้ 18%, ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 25% และความเร็วเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นถึง 20%
ที่น่าสนใจคือ ถึงแม้จะมีรถยนต์ขับเคลื่อนอัติโนมัติเพียง 2% บนท้องถนน ก็ยังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้มากพอสมควรแล้ว
ก็ต้องติดตามกันต่อไปในอนาคต ว่าจะมีประเทศไหนนำระบบนี้ไปนำร่องหรือไม่ เพราะตอนนี้ในหลาย ๆ ประเทศ ก็เริ่มมีการใช้รถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ มาปรับใช้กับรถประจำทางบ้างแล้ว เช่น ในจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/MarketThinkTH/photos/a.1393665140725873/5081098101982540/