ปีนี้จะเป็นเป็นปีแห่งการตัดสินใจครั้งสำคัญของ องค์กร ขนาดใหญ่ทั่วโลก เมื่อหลายบริษัทต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เปลี่ยนไป
การตัดสินใจขายสินทรัพย์และธุรกิจ ที่ไม่ใช่หัวใจหลักขององค์กร กลายเป็นแนวทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการลดต้นทุน แต่เป็นการ เร่งเครื่องให้ธุรกิจสามารถแข่งในสนามที่ตนเองถนัดที่สุด
การขายธุรกิจที่ไม่ใช่แกนหลักไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ เราเห็นแนวโน้มนี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ค้าปลีก และสื่อดิจิทัล
Alibaba เพิ่งประกาศขาย Intime และ RT-Mart ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์ หลังจากครั้งหนึ่งเคยลงทุนมหาศาลเพื่อขยายโมเดล New Retail ที่ตอนนี้กลับกลายเป็นภาระและมีต้นทุนสูงทำให้ยากที่จะแข่งขันกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซราคาประหยัดอย่าง Pinduoduo และ TikTok Shop
Amazon ยุติบริการ Amazon Care ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านสุขภาพ หลังจากพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
ขณะที่ Meta (Facebook) ปรับลดงบประมาณในโครงการ Metaverse และเลือกโฟกัสไปที่ AI และโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก
Walmart กำลังทบทวนกลยุทธ์ด้านค้าปลีก โดยหันไปลงทุนใน e-commerce และระบบซัพพลายเชนดิจิทัล มากขึ้น พร้อมทั้งการทิ้งธุรกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้เร็วขึ้น
เมื่อบริษัทขนาดใหญ่เดินหน้าปรับโฟกัสและตัดธุรกิจที่ไม่ใช่ ธุรกิจหลัก ออกไป ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้ง โครงสร้างอุตสาหกรรม และ การแข่งขันทางธุรกิจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายความเพียงแค่การลดต้นทุน แต่กำลัง สร้างสมดุลใหม่ในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคดิจิทัลและเทคโนโลยี
การถอนตัวจากบางเซกเตอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น ค้าปลีกดิจิทัล บริการโลจิสติกส์ หรือบริการคลาวด์ระดับกลาง อาจเปิดพื้นที่ให้ ธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพ ได้เติมเต็มช่องว่างนี้
ตัวอย่างเช่น การขายกิจการ RT-Mart และ Intime ของ Alibaba อาจสร้างโอกาสให้ ผู้เล่นรายใหม่ในจีนสามารถขยายธุรกิจได้ หรือการที่ Amazon เลิกให้บริการด้านสุขภาพ Amazon Care อาจเปิดโอกาสให้ HealthTech startups รายใหม่เข้ามาทดลองโมเดลธุรกิจที่ยืดหยุ่นกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่
การหยุดลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่แกนหลักของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ กลายเป็นแรงกระตุ้นทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรม Cloud Services, AI, และ Data Solutions ทวีความรุนแรงขึ้น ตัวอย่างเช่น
Google Cloud, AWS และ Microsoft Azure กำลังขยายการลงทุนใน Data Center ทั่วโลก ทำให้บริการ Infrastructure-as-a-Service (IaaS) มีต้นทุนถูกลง TikTok และ ByteDance เน้นเรื่อง AI-driven E-commerce อย่างจริงจัง เพื่อแข่งขันกับแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Shopee หรือ Lazada
การลงทุนของ Big Tech ใน Data Center และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ทำให้ต้นทุนบริการดิจิทัลบางประเภทลดลง โดยเฉพาะ Cloud Computing, AI Services และ Big Data Analytics
ธุรกิจที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ เช่น E-commerce, FinTech และ MediaTech อาจได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงแต่ในขณะเดียวกัน บริษัทปรับตัวไม่ทันจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
โดยสรุป การที่บริษัทยักษ์ใหญ่เดินหน้าปรับโฟกัสธุรกิจหลัก กำลัง สร้างสมดุลใหม่ให้กับตลาด ซึ่งอาจเป็นทั้ง โอกาส สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม และเป็น ความเสี่ยง สำหรับผู้ที่ยังยึดติดกับรูปแบบธุรกิจเก่าโดยไม่มีการปรับตัว
“Focus on the Core” ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์การจัดพอร์ตธุรกิจ แต่มันคือกลยุทธ์ที่กำหนดอนาคตขององค์กร ว่าใครจะอยู่ ใครจะไป ใครที่ปรับตัวเร็วและตัดสินใจได้ถูกต้อง ย่อมเป็นผู้ที่อยู่รอดในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
แหล่งข้อมูล