ถอดรหัสทางรอดของเกษตรกรไทยยุคดิจิทัล 4.0 เปลี่ยนผ่านจากการเกษตรแบบเดิมสู่ Smart Farmer ด้วยการใช้เทคโนโลยี IoT และ Big Data
ในยุคดิจิทัล การดิสรัปชันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทุก ๆ อุตสาหกรรม ตามด้วยสถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นตัวเร่งให้องค์กรต่าง ๆ และภาคธุรกิจเร่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน (Digital Transformation) เพื่อหาทางรอดสู่น่านน้ำใหม่ หนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมด้านการเกษตร
ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า ต้นทุนการผลิตด้านเกษตรของประเทศไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการพัฒนาอย่างมาก
ข้อจำกัดของเกษตรกรไทยในยุคดิจิทัลคือ การขาดความเข้าใจด้านเทคโนโลยี ขาดการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งมันสวนทางกันกับสภาพการทำงานของสังคมปัจจุบันที่ได้นำปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี ตลอดจนการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และจัดเก็บผ่าน AI ในรูปแบบ Big Data หรือการประมวลผลผ่านคลาวด์ เพื่อเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ Digital Transform
เนคเทคมีทีมวิจัยด้านการเกษตรประมาณ 30 คนที่คอยวิจัยและพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกร มีหลายผลงานที่สามารถนำออกสู่ตลาดธุรกิจ และเกิดการใช้งานได้จริง วันนี้ ทางกรุงเทพธุรกิจจึงรวบรวมโซลูชันบางส่วน ที่เกิดขึ้นในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ปี 2565 NECTEC Annual Conference and Exhibition (NECTEC-ACE 2022)
การนำ Big Data มาใช้ในการเกษตร
ปัจจุบัน Smart Farm หลายแห่งได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี IoT ติดตั้งเซ็นเซอร์ และจัดทำระบบวัดค่าแสดงผล รวมไปถึงการสร้างระบบควบคุมผ่าน Smart Device เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถบริหารจัดการ และเฝ้าดูสถานการณ์รอบ ๆ แปลงเพาะปลูกได้ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว มีดังนี้
1 Agri-Map ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก: แพลตฟอร์มเป็นเสมือนมือขวาของเกษตรกร เพื่อช่วยบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ ทั้งนี้ ได้รวบรวมข้อมูลทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพพื้นดิน แหล่งน้ำ อากาศ และสามารถนำมาวิเคราะห์หาพืชที่นำมาทดแทนในแปลงของเกษตรกรได้ จัดทำฐานข้อมูลของการเกษตรโดยครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย
ทำให้เกิดความเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโต และปริมาณของผลผลิต ได้แก่ ปริมาณ สัดส่วน และช่วงเวลาของธาตุอาหารที่พืชต้องการ ของแต่ละสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป สภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อศักยภาพการเติบโต ปริมาณน้ำตามความต้องการของต้นพืช ข้อจำกัดเหล่านี้สามารถใช้ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่นมือถือและบนเว็บไซต์ agri-map-online.moac.go.th/
2 Aqua-IoT เพื่อสัตว์น้ำเศรษฐกิจไทยยุคดิจิทัล: ชุดอุปกรณ์ตรวจวัด ติดตาม แจ้งเตือน เพื่อช่วยในการเฝ้าระวังสภาวะและสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กายภาพ เคมี ชีวภาพ ในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แทนการตรวจวัดตลอดเวลาด้วยคน ซึ่ง Aqua-IoT ทำงานผ่านอุปกรณ์ IoT แบบ Real Time ส่งข้อมูลการตรวจวัดผ่าน online ในหลายช่องทาง
ไม่ว่าจะเป็น Mobile Dashboard, Line Application, Web Browser ให้ผู้เพาะเลี้ยงได้ติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ ป้องกัน แก้ไข อย่างตรงจุด และทันเวลา ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงสามารถวางแผนการเลี้ยงเพื่อป้องกัน ลดความเสี่ยงต่อความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
3 การพัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะ (Plant Factory or Greenhouse): สำหรับพืชที่ต้องการควบคุมคุณภาพเป็นพิเศษ สามารถนำข้อมูลมาช่วยในการวิจัยและพัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะ ให้เป็นระบบการปลูกพืชที่สามารถบริหารจัดการสภาพแวดล้อมได้ เช่น การควบคุมแสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และธาตุอาหารพืช โดยใช้ระบบอัตโนมัติ ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้สามารถสร้างพื้นที่เพื่อการเกษตรได้ทุกที่ ทุกฤดูกาล
4 KUBOTA Agri Solution: แพลตฟอร์มที่เป็นคลังความรู้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไปได้เข้ามาสืบค้น นำความรู้ไปพัฒนาต่อยอด และเป็นช่องทางในการนำเสนอเทคนิคต่าง ๆ ด้านการจัดการเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งภายในเว็บไซต์ประกอบด้วย ข้อมูลด้านการเพาะปลูกข้าว ที่อยู่ในรูปแบบของปฏิทินเพาะปลูกข้าว ข้อมูลเรื่องพืช รวมถึงการนำเครื่องจักรกลการเกษตร เช่น โดรน มาใช้ในพื้นที่เกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกขั้นตอน
ล่าสุดได้ออกแอปพลิเคชั่น “KAS Crop Calendar application” ใช้แสดงผลปฏิทินการเพาะปลูก เช่น การแจ้งเตือนสิ่งที่เกษตรกรต้องทำในแต่ละขั้นตอนปฏิทินการเพาะปลูก ซึ่งแอปพลิเคชันจะแจ้งเตือนตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดิน การเพาะปลูก การบำรุงรักษา การเก็บเกี่ยวผลผลิต ตลอดจนการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อเก็บเป็นข้อมูลและสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มรายรับให้มากขึ้นในการทำการเพาะปลูกครั้งต่อไป
เกษตรสูงวัย-เกษตรยุคใหม่ กับการผสานความรู้และเทคโนโลยี
ด้าน เสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กล่าวว่า ใน 2 ปีที่ผ่านมา พบการลดลงของเกษตรกรอายุน้อย และมีแนวโน้มว่าเกษตรกรสูงอายุจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก “เกษตรกรไม่มีการเกษียน” ข้าราชการเกษียนอายุตอน 60 ปี ส่วนใหญ่ก็กลับไปทำการเกษตร
การลดลงของเกษตรกรอายุน้อยส่งผลให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้น้อยลง ทำให้ไม่เกิดการผสมผสานประสบการณ์ ภูมิปัญญา และสินทรัพย์ที่สำคัญจากเกษตรกรสูงอายุ สิ่งนี้กำลังเป็นปัญหาครั้งสำคัญที่อุตสาหกรรมการเกษตรต้องพบเจอ จากงานวิจัย สถานการณ์สูงวัยกับผลิตภาพและการทำเกษตรของครัวเรือนเกษตรไทย ได้ตั้งคำถามถึงสิ่งที่เป็นโจทย์ท้าทายเกษตรยุค 4.0 ที่จะผันตนไปเป็น Smart Famer ไว้ว่า
- เราจะนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับหรือทดแทนแรงงานสูงวัยเพื่อเพิ่มผลิตภาพได้อย่างไร?
- เราจะดึงดูดให้แรงงานอายุน้อยให้เข้ามาในภาคเกษตรมากขึ้นได้อย่างไร? ซึ่งในต่างประเทศได้ใช้การให้แรงจูงใจทางการเงินและโครงการให้ความช่วยเหลือ (set-up assistant program) รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับแรงงานอายุน้อยเพื่อดึงดูดให้แรงงานเหล่านี้สนใจหันมาทำเกษตรมากขึ้น
- เราจะสนับสนุนการออกนอกภาคเกษตรของแรงงานสูงวัยอย่างไร?
- เราควรมีมาตรการใดบ้างที่จะช่วยเหลือและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับครัวเรือนเกษตรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย?
ซึ่งสอดคล้องกับหัวข้อการพูดคุยในงาน NECTEC-ACE 2022 ว่า “เราจะนำเทคโนโลยีมาช่วยทำการเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพสูงอย่างไร” ที่ได้รับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสถานศึกษา และตัวของเกษตรกร เพื่อเตรียมความพร้อมงานวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต สร้างให้เกิดระบบนิเวศ (Ecosystem)
แหล่งข้อมูล