ไม่ไกลเกินฝัน เตรียมใช้งานแบตเตอรี่โซเดียมไอออนเชิงพาณิชย์

Loading

CATL และ Elecom เดินหน้าพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมไอออน ใช้จริงได้ใน EV และพาวเวอร์แบงค์ รองรับอุณหภูมิ -34 ถึง 50 องศา และหมดปัญหาเรื่องไฟไหม้

แบตเตอรี่โซเดียมไอออน คือแบตเตอรี่ที่ใช้ โซเดียม ในการกักเก็บและคายพลังงานแทน ลิเธียม ที่มีการใช้งานแพร่หลายในปัจจุบัน ถูกมองเป็นตัวเลือกน่าสนใจเนื่องจากความโดดเด่นในหลายด้าย แต่ด้วยข้อจำกัดทำให้ไม่มีการผลิตออกมาให้ใช้งานทั่วไป ทั้งหมดกำลังจะเป็นเรื่องในอดีตเมื่อแบตเตอรี่โซเดียมไอออนกำลังเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์

CATL ประกาศนำแบตเตอรี่โซเดียมไอออนเข้าสายการผลิต

CATL หรือ Contemporary Amperex Technology บริษัทผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีนได้ประกาศว่า พวกเขากำลังนำแบตเตอรี่โซเดียมไอออนเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมิถุนายนปี 2025 และคาดว่าจะสามารถนำมาใช้งานได้ทั่วไปภายในช่วงสิ้นปี

ตามข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาแบตเตอรี่โซเดียมไอออนรุ่นแรกจะมีความหนาแน่นในการกักเก็บพลังงานที่ 175 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม ใกล้เคียงกับความหนาแน่นของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ตามรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป และจะสามารถทำระยะทางได้ราว 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

แบตเตอรี่โซเดียมไอออนชุดแรกที่เข้าสู่สายการผลิตจะเป็นแบตเตอรี่ขนาดเล็ก เน้นสำหรับการใช้งานในรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นหลัก และคาดว่าจะเริ่มต้นสายการผลิตของแบตเตอรี่โซเดียมไอออนสำหรับยานพาหนะขนาดใหญ่ได้ภายในช่วงเดือนธันวาคมต่อไป

ทาง CATL ไม่มีการเปิดเผยต้นทุนและกำลังการผลิตของแบตเตอรี่โซเดียมไอออน อย่างไรก็ตามพวกเขาคาดหวังว่า แบตเตอรี่ชนิดนี้จะเข้ามาแทนที่ความต้องการแบตเตอรี่ลิเธียม เหล็ก หรือฟอสเฟต ในอุตสาหกรรมได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง และอาจพลิกโฉมหน้าเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าไปโดยสิ้นเชิง

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่เพียงเจ้าเดียวที่เล็งเห็นประโยชน์และเริ่มผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนมาใช้งานเชิงพาณิชย์

DE-C55L-9000 พาวเวอร์แบงค์โซเดียมไอออนตัวแรกของโลก

Elecom บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่นเปิดตัว DE-C55L-9000 พาวเวอร์แบงค์รุ่นแรกของโลกที่เปลี่ยนตัวกักเก็บพลังงานจาก ลิเธียม มาเป็น โซเดียม ชูจุดเด่นด้านความทนทาน ปลอดภัย และอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ออกมาเป็นตัวเลือกใหม่ทดแทนพาวเวอร์แบงค์ที่เรารู้จัก

ภายนอกตัวอุปกรณ์ไม่ได้ต่างจากพาวเวอร์แบงค์ทั่วไปมากนัก ความจุสูงสุดอยู่ที่ 9,000 มิลลิแอมแปร์-ชั่วโมง รองรับ USB Type A และ C ในระดับแรงดันไฟ 18 และ 45 วัตต์ตามลำดับ พื้นฐานไม่แตกต่างจากพาวเวอร์แบงค์ทั่วไปที่วางขายตามท้องตลาดนักแต่มีจุดเด่นในหลายด้าน

อย่างแรกคืออุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ พาวเวอร์แบงค์ทั่วไปมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อยู่ในอุณหภูมิ 10 – 30 องศาเซลเซียส ในกรณีอุณหภูมิเย็นจัดจะทำงานได้น้อยลง ขณะที่อุณหภูมิร้อนจัดอาจเกิดการระเบิด ปัญหานั้นไม่เกิดขึ้นกับพาวเวอร์แบงค์รุ่นใหม่ที่รองรับอุณหภูมิตั้งแต่ -34 – 50 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ตัวแบตเตอรี่ยังมีอายุการใช้งนยาวนานกว่าพาวเวอร์แบงค์ทั่วไปมาก ตามปกติแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะมีจำนวนครั้งการชาร์จใหม่อยู่ที่ 500 – 1,000 ครั้ง ความหนาแน่นพลังงานก็จะเริ่มลดลง แต่พาวเวอร์แบงค์รุ่นใหม่นี้รองรับการชาร์จใหม่ได้มากถึง 5,000 รอบ จึงมีอายุการใช้งานมากกว่าถึง 5 เท่า

ถึงตรงนี้อาจทำให้หลายท่านเกิดความสนใจต่อพาวเวอร์แบงค์ตัวนี้กันไม่น้อย อย่างไรก็ตามจุดบอดสำคัญของ DE-C55L-9000 คือ ราคาวางจำหน่ายเริ่มต้นในญี่ปุ่นอยู่ที่ 67 ดอลลาร์(ราว 2,235 บาท) ในขณะที่พาวเวอร์แบงค์ทั่วไปที่มีความจุใกล้เคียงกันจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ราว 20 ดอลลาร์ (ราว 667 บาท) แต่สำหรับท่านที่ต้องการอุปกรณ์สำหรับใช้งานในระยะยาวนี่ก็ถือเป็นตัวเลือกน่าสนใจเช่นกัน

ข้อดีของแบตเตอรี่โซเดียมไอออน

หลายท่านคงเริ่มเห็นกันไปแล้วว่า จุดเด่นของแบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีอะไรบ้าง ที่แน่นอนคือทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแม้ในสภาพอากาศเย็นจัด จึงเหมาะสำหรับประเทศหนาวที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี จากขีดความสามารถรองรับอุณหภูมิที่สูงกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมาก

แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเดียวโซเดียมไอออนยังมีข้อดีอีกหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือวามปลอดภัย โซเดียมจะไม่เกิดความร้อนสะสมจนลุกไหม้แบบเดียวกับที่เกิดในลิเธียม เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่ออุปกรณ์หลายชนิดโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า ที่แน่ใจได้ว่าจะไม่เกิดการลุกไหม้ติดไฟขึ้นมาเอง

โซเดียมยังเป็นแร่ธาตุที่หาง่าย พบได้มากในเปลือกโลกและตามน้ำทะเล แตกต่างจากลิเธียมที่เป็นโลหะหายากและพบได้ในไม่กี่พื้นที่ การเปลี่ยนมาเป็นโซเดียมจะช่วยให้วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตถูกกว่าลิเธียมราว 30 – 40% และยังเข้าถึงได้ง่ายกว่า เปิดโอกาสให้หลายประเทศสามารถผลิตแบตเตอรี่ได้สะดวกขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในระยะยาว

อีกภาคส่วนที่ได้รับประโยชน์ไม่แพ้กันคือสิ่งแวดล้อม เทียบกับลิเธียมที่เป็นธาตุหายาก ต้องอาศัยเหมืองเฉพาะกรรมวิธีผลิตซับซ้อนและทิ้งมลพิษตกค้างไว้มากแล้ว การสกัดโซเดียมสามารถทำได้ง่ายและก่อให้เกิดปัญหามลพิษน้อยกว่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งในกระบวนการสกัด ผลิต และรีไซเคิล ที่จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายบริษัทมุ่งหน้าผลิตเทคโนโลยีนี้ และคาดว่าในอนาคตคงมีการเปิดตัวออกมามากขึ้น

แหล่งข้อมูล

https://www.posttoday.com/smart-life/724744


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210