เทคโนโลยี CCS ความหวังประเทศไทย พิชิตเป้าหมาย Net Zero Emissions 2065

Loading

“เทคโนโลยี CCS” คือการดักจับและนำคาร์บอนลงไปเก็บไว้ที่ชั้นหินใต้ดิน ซึ่งเป็นทางเลือกสำคัญหนุนประเทศมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions 2065

หลายคนน่าจะเคยสงสัยกับคำว่า “Net Zero Emissions” หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นสิ่งที่ทำได้จริงหรือเปล่า หลายประเทศทั่วโลกให้คำมั่นสัญญาที่จะพิชิตเป้าหมายนี้ด้วยช่วงเวลาที่แตกต่างกันตามความพร้อม โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ปี 2065 หรืออีก 41 ปีจากนี้ ขณะที่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างอเมริกาตั้งเป้าไว้ที่ปี 2050 ส่วนประเทศจีนตั้งเป้าไว้ที่ปี 2060

สิ่งที่นำมาซึ่งความสงสัยก็คือ ในเมื่อผู้คนบนโลกยังคงบริโภคอย่างไม่หยุดยั้ง และก๊าซเรือนกระจกยังคงถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากกว่า 50,000 ล้านตันต่อปี จะมีทางไหนที่ทำให้กลายเป็นศูนย์ไปได้ ยิ่งถ้าวัดกันจริงๆ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เปิดสวิตช์ไฟ อาบน้ำ ขับรถไปทำงาน เปิดโน้ตบุ๊ก ทานอาหาร แทบทุกกิจกรรมต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจก นี่ยังไม่รวมถึงโรงงานที่ผลิตสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ และการคมนาคม ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น

แน่นอนว่าไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ก๊าซเรือนกระจก 50,000 ล้านตันต่อปี จะหายไปง่ายๆ แต่หากทุกคนขับเคลื่อนถูกที่ คลายปมถูกจุด Net Zero ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

สิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกมุ่งคือ การทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจก ที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเต็มรูปแบบให้ได้โดยเร็วที่สุด

ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้ก็คือ การดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากประชากรโลก 80% คือคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก ในที่นี้จะกล่าวถึงเทคโนโลยีที่ถูกยกให้เป็นความหวังของโลกในขณะนี้ นั่นคือ เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage) หรือ CCS

CCS เป็นเทคโนโลยีการดักจับและนำคาร์บอนลงไปเก็บไว้ที่ชั้นหินใต้ดิน ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1.) ดักจับคาร์บอนจากภาคอุตสาหกรรมหรือชั้นบรรยากาศ 2.) ปรับความดันให้เหมาะสมสำหรับการขนส่งผ่านทางท่อส่ง ทางเรือ หรือรถบรรทุก และ 3.) นำไปกักเก็บอย่างถาวรในชั้นหินใต้ดินที่มีโครงสร้าง คุณสมบัติ และความลึกเหมาะสม ซึ่งอาจอยู่บนบกหรือนอกชายฝั่งทะเล โดยไม่มีการปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ขณะเดียวกันก็ไม่สร้างมลภาวะแก่บริเวณข้างเคียง และในท้องทะเลด้วย

ในการกักเก็บคาร์บอนจะพิจารณาบริเวณที่มีปัจจัยต่างๆ ทั้งในแง่ของการประเมินความจุของชั้นหินกักเก็บ การประเมินประสิทธิภาพในการกักเก็บของสภาพแวดล้อมทางธรณีวิทยาใต้ดิน การประเมินความสามารถในการอัดคาร์บอนลงในชั้นหิน และยังมีขั้นตอนของการติดตามคาร์บอนที่ถูกอัดกลับไปแล้วเพื่อความปลอดภัยด้วย

การนำคาร์บอนไปกักเก็บไม่ได้อัดลงไปในครั้งเดียว แต่จะทยอยนำลงไปกักเก็บในอัตราที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการรั่วไหล และจะไม่มีผลกระทบตามมา เมื่ออัดคาร์บอนลงไปแล้วยังมีการติดตามสถานะของคาร์บอนด้วยว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนที่หรือไม่อย่างไร

ส่วนคำถามว่า ทำไมต้อง CCS ? เปรียบเทียบง่ายๆ ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 320 ล้านไร่ มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 320 ล้านตันต่อปี การจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ในปริมาณมาก ถ้าพิจารณาจาก 1.) การปลูกป่า ซึ่งการปลูกป่า 1 ล้านไร่ จะช่วยซึมซับคาร์บอนได้ประมาณ 2 ล้านตันต่อปี แต่หากจะปลูกป่าเพียงอย่างเดียวเพื่อลดคาร์บอนให้ได้ 320 ล้านตัน นั่นหมายถึงจะต้องทำให้พื้นที่ 50% ของประเทศไทยกลายเป็นป่า จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอาศัยวิธีนี้โดยลำพัง 2.) การใช้รถไฟฟ้า ประเมินว่าจะช่วยลดปริมาณคาร์บอนได้ประมาณ 30-40 ล้านตันต่อปี ก็จะยังคงเหลือคาร์บอนจำนวนมากที่ต้องจัดการซึ่งหากมีการใช้ และ 3.) เทคโนโลยี CCS ก็จะช่วยลดคาร์บอนได้อีก 40 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2050 และเพิ่มเป็น 60 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2065

แนวทางผสมผสานของการลดคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมี CCS เป็นเครื่องมือหลัก ร่วมกับการใช้รถไฟฟ้า การลงทุนของภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และหักลบคาร์บอนส่วนที่เหลือด้วยการปลูกป่า จึงเป็นแนวทางที่เป็นไปได้จริง ที่เชื่อว่าจะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถพิชิตเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี 2065 ได้สำเร็จ

จากข้อมูลของ Global CCS Institute พบว่ามีการพัฒนาโครงการ CCS ทั้งในเชิงพาณิชย์และโครงการนำร่องรวมแล้วเกือบ 800 โครงการทั่วโลก เช่น นอร์เวย์ อเมริกา ญี่ปุ่น และยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก

CCS โครงการแรกของโลกที่เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมสามารถขนส่งคาร์บอนและนำไปกักเก็บ เกิดขึ้นที่ประเทศนอร์เวย์ ชื่อว่า “Northern Lights” ซึ่งบริษัทพลังงานระดับโลกอย่าง Equinor Shell และ TotalEnergies ทำร่วมกัน โดยได้การสนับสนุนช่วงแรกจากรัฐบาลนอร์เวย์ มีเป้าหมายการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในช่วงแรก ประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี เท่ากับการปลูกป่าหลายแสนไปจนถึงล้านไร่เลยทีเดียว เน้นเก็บคาร์บอนจากอุตสาหกรรมซีเมนต์ และอุตสาหกรรมหนักอื่นที่หลีกเลี่ยงการปลดปล่อยคาร์บอนไม่ได้

สำหรับประเทศไทย เทคโนโลยี CCS ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะบริษัทไทยอย่าง ปตท.สผ. กำลังศึกษาประยุกต์ใช้ CCS ในอ่าวไทยที่แหล่งก๊าซฯ อาทิตย์ เรียกว่าเป็นโครงการนำร่อง ประเมินว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ในปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าภายในปีนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่จะเริ่มกักเก็บคาร์บอนได้จริง ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกราว 3 ปี

เทคโนโลยี CCS เป็นเหมือนการย้อนกลับของกระบวนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่นำคาร์บอนซึ่งเป็นสารพลอยได้จากการใช้พลังงานฟอสซิล ส่งกลับคืนไปที่ชั้นหินใต้ดินที่เคยนำพลังงานฟอสซิลขึ้นมา หรือนำไปเก็บชั้นหินอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมก็ได้

“ถึงตรงนี้หลายคนอาจมีคำถามว่า ถ้านำคาร์บอนไปกักเก็บใต้ทะเล จะเหมือนกับการนำขยะไปทิ้งทะเล หรือสร้างมลพิษในทะเลหรือไม่?”

จากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี CCS พบว่าการกักเก็บคาร์บอนถาวรด้วยวิธีนี้ ไม่สร้างมลภาวะใต้ทะเล และยิ่งห่างไกลกับคำว่า “นำขยะไปทิ้งในทะเล” มาก เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ใช่สารพิษแต่อย่างใด และอยู่ในลมหายใจออกของทุกคน การนำคาร์บอนไดออกไซด์ไปกักเก็บก็จะอัดกลับลงไปในหลุมขุดเจาะที่นำก๊าซธรรมชาติออกมาใช้หมดแล้ว อยู่ในชั้นหินที่เป็นตัวปิดทับโพรงกักเก็บไว้ โดยเมื่อคาร์บอนถูกเก็บในชั้นหินใต้ทะเล ก็จะมีการแปรสภาพหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและแรงดันของแหล่งที่กักเก็บ เช่น ละลายลงไปในน้ำที่แทรกตัวอยู่ในรูพรุนของชั้นหินที่อัดลงไป เมื่อระยะเวลาผ่านไปคาร์บอนเหล่านี้จะรวมตัวกับสารประกอบอื่นๆ และตกผลึกเป็นแร่ในสถานะของแข็งอยู่ในชั้นหินเหล่านั้นในที่สุด นอกจากนี้ ในการกักเก็บจะต้องมีวิธีบริหารจัดการต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

การทำ CCS เพื่อรองรับคาร์บอนจากโรงงานและอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของภาครัฐ ทั้งด้านกฎระเบียบ สิทธิประโยชน์ในการลงทุน และรายละเอียดความรับผิดชอบกรณีที่นำคาร์บอนไปเก็บไว้ใต้ดิน ซึ่งในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ หรือในยุโรป ก็มีการออกกฎหมายคาร์บอน (Carbon Law) แล้ว ล่าสุดก็ที่ญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม โครงการลักษณะดังกล่าว ต้องใช้งบประมาณลงทุนจำนวนมาก เฉพาะการรับคาร์บอนนำไปเก็บในอ่าวไทย ประเมินว่าต้องใช้งบประมาณสูงถึง 3,000-4,000 ล้านเหรียญ ในการก่อสร้างและการติดตามผล จึงต้องอาศัยการร่วมทุนของหลายบริษัท และการสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ

ถ้าสำเร็จ CCS จะช่วยรองรับภาคอุตสาหกรรมของไทย เช่น โรงงานปุ๋ย โรงงานเหล็ก โรงงานอะลูมิเนียม และโรงงานปูน ที่หากไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ จะได้รับผลกระทบในการส่งออกจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ CBAM นี่จึงอาจเป็นทางออกสำหรับโรงงานเหล่านี้ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ด้วย

หากประเทศไทยต้องการจะพิชิตเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี 2065 ภายในปี 2040 จะต้องมีการพัฒนาโครงการ CCS ให้สามารถรองรับคาร์บอนจากโรงงานต่างๆ ให้ได้ 30-40 ล้านตันต่อปี ในปี 2050 และขยายความสามารถให้รองรับได้ถึง 60 ล้านตันต่อปี ในปี 2065 ถ้าก้าวถึงจุดนั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะพิชิตเป้าหมาย Net Zero ได้จริง

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/corporate-moves/environment/1153032


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210