เมื่อ AI จ้องพลิกโฉมตลาดแรงงานโลกในปี 2030! โอกาสใหม่หรือภัยคุกคาม?

Loading

รายงาน Future of Jobs จาก World Economic Forum (WEF) ที่เผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ ได้เปิดเผยแนวโน้มสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของตลาดแรงงานทั่วโลก ท่ามกลางการพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ โดยการศึกษาดังกล่าวเตือนว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานแบบดั้งเดิม และอาจทำให้หลายบริษัทต้องลดจำนวนพนักงานลงอย่างมีนัยสำคัญ และอาจส่งผลให้งานที่คุณทำวันนี้ อาจไม่มีอยู่ในอนาคต!

ผลสำรวจจากธุรกิจขนาดใหญ่หลายร้อยแห่งทั่วโลกเผยว่า 41% ของบริษัทมีแผนลดจำนวนพนักงานภายในปี 2030 เพื่อตอบสนองต่อศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของ AI อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด ในทางกลับกัน 77% ของบริษัทกำลังเร่งฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ ให้กับพนักงานเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

WEF คาดการณ์ว่าในขณะที่ตำแหน่งงาน 92 ล้านตำแหน่งอาจหายไป แต่จะมีการสร้างตำแหน่งงานใหม่มากถึง 170 ล้านตำแหน่งภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ บิ๊กดาต้า และความปลอดภัยทางไซเบอร์จะเป็นที่ต้องการสูง

“AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ได้เพียงเข้ามาแทนที่งาน แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน” ทิลล์ ลีโอโพลด์ หัวหน้าฝ่ายงาน ค่าจ้าง และการสร้างงานของ WEF กล่าว พร้อมระบุว่า AI กำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมต่างๆ และส่งผลให้เกิดความเสี่ยงและโอกาสไปพร้อมกัน

งานไหนหายไป งานไหนมาแรง?

รายงานได้ระบุประเภทงานที่มีแนวโน้มลดลงมากที่สุด โดยงานที่มีแนวโน้มลดลงสูงสุดภายในปี 2030 คืออาชีพที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ ได้แก่ แคชเชียร์และพนักงานขายตั๋ว ซึ่งถูกแทนที่ด้วยระบบชำระเงินอัตโนมัติ ผู้ช่วยผู้บริหารที่ลดความจำเป็นลงจากการใช้ซอฟต์แวร์จัดการงานสำนักงาน รวมถึงแม่บ้านและผู้ดูแลอาคารที่ได้รับผลจากการใช้หุ่นยนต์และระบบทำความสะอาดอัตโนมัติ นอกจากนี้ พนักงานจัดการสต็อกและงานพิมพ์ยังได้รับผลกระทบจากระบบดิจิทัลและการจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย AI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Generative AI ทำให้อาชีพเหล่านี้มีบทบาทลดลงหรือกระทั่งไม่เป็นที่ต้องการในอนาคต

ในอนาคต งานที่มีการเติบโตสูงสุดจะเป็นงานที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและตอบสนองต่อความท้าทายของโลกยุคใหม่ เช่น แรงงานในภาคการเกษตรยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ โดยปัจจุบันมีแรงงานในภาคนี้กว่า 200 ล้านคน ขณะเดียวกัน แนวโน้มการรักษ์โลกที่เน้นลดการปล่อยคาร์บอนและปรับตัวรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ คาดว่าจะสร้างงานใหม่กว่า 34 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030

งานประเภทอื่นๆ ที่ติดอันดับการเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ พนักงานขับรถส่งของ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ คนงานก่อสร้าง และพนักงานขายหน้าร้าน ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ

ทั้งนี้ พนักงานขายหน้าร้านยังคงเป็นหนึ่งในอาชีพที่เติบโตสูงสุดแม้ในยุคดิจิทัล เนื่องจากสามารถมอบประสบการณ์ที่จับต้องได้และสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า ซึ่งแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่อาจทดแทนได้ การเติบโตของกลยุทธ์ Omni-Channel ที่ผสานการขายออนไลน์และหน้าร้าน ทำให้พนักงานขายมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงประสบการณ์ลูกค้าทั้งสองช่องทาง นอกจากนี้ ธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นและสินค้าที่ต้องการคำแนะนำเฉพาะทาง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสินค้าไฮเอนด์ ยังคงต้องพึ่งพาพนักงานขาย ขณะที่การกลับมาของการช้อปปิ้งแบบออฟไลน์หลังโควิด-19 ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของหน้าร้านในฐานะพื้นที่สร้างประสบการณ์และความประทับใจที่เทคโนโลยีไม่สามารถแทนที่ได้

นอกจากนี้ ในขณะที่อุตสาหกรรมด้านการแปรรูปอาหารกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนประชากรโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน งานในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ หรือที่ปรึกษาด้านสุขภาพ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดความต้องการบุคลากรในสายงานเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ส่วนอาชีพในด้านพลังงานหมุนเวียน วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงเป็นสายงานที่มีศักยภาพสูงและน่าจับตามองอย่างยิ่ง ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็ว หุ่นยนต์ที่มีความล้ำหน้า ระบบพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ AI ที่ถูกพัฒนาให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ ส่งผลให้ความต้องการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในสาขาเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาชีพเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของอนาคต แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

รายงานฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “ทักษะที่เน้นความเป็นมนุษย์” ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดแรงงานยุคใหม่ ทักษะเหล่านี้ ได้แก่ การคิดเชิงสร้างสรรค์ ความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างมีจินตนาการ ในยุคที่เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์และความคิดสร้างสรรค์จะยังคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ และเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้บุคคลสามารถก้าวนำในโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานโลกไม่เพียงสะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของมนุษยชาติต่อความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและประชากรศาสตร์ ในขณะที่เทคโนโลยีช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ในหลายอุตสาหกรรม การพัฒนาทักษะของแรงงานเพื่อรองรับอาชีพแห่งอนาคตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนต้องเร่งดำเนินการ

มองมุมแตกต่าง “AI กับอนาคตของมนุษย์”

แม้ว่าความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นและไม่สิ้นสุด แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาว ตัวอย่างเช่น พอล เกรแฮม นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ได้เคยเตือนว่าในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า AI อาจทำให้คนสูญเสียทักษะการเขียนไปจนหมดสิ้น

ในทางกลับกัน ดานิล กาฟริลอฟ หัวหน้าห้องปฏิบัติการวิจัยปัญญาประดิษฐ์แห่ง T-Bank AI Research ได้กล่าวว่า “ในระยะสั้นและระยะกลาง พนักงานจำเป็นต้องพัฒนาทักษะในการใช้ AI เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้” เขายังชี้ให้เห็นว่า AI สามารถทำงานทุกอย่างที่มนุษย์ทำได้ และในบางกรณี อาจทำได้ดีกว่ามนุษย์เสียอีก การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปรับตัวและเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกการทำงาน

การเปลี่ยนแปลงที่มิอาจหลีกเลี่ยง เมื่อมนุษย์และ AI ต้องเดินเคียงข้างกัน

ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ต่อโลกแห่งการทำงานกำลังเผยให้เห็นภาพของอนาคตที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย ไม่ว่าเราจะมอง AI ในฐานะเครื่องมือเสริมศักยภาพหรือเป็นภัยคุกคามต่อวิถีชีวิตเดิม สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น 

AI ไม่ได้มาเพื่อแทนที่มนุษย์ หากแต่มาเพื่อยกระดับศักยภาพของมนุษย์ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่และแก้ปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่ความร่วมมือนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์พร้อมที่จะพัฒนาทักษะใหม่ๆ และเปิดรับการเปลี่ยนแปลงในเชิงรุก องค์กรต้องปรับโครงสร้างและกลยุทธ์เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับแรงงาน ขณะที่พนักงานเองต้องเรียนรู้ที่จะใช้ AI เป็นพันธมิตร มากกว่าที่จะมองมันเป็นคู่แข่ง

นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคที่ไม่ใช่เพียงแค่ “ความอยู่รอด” แต่เป็นยุคของ “การยกระดับ” ที่มนุษย์และ AI จะร่วมกันสร้างโลกที่มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และยั่งยืนอย่างแท้จริง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังอาจเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ออกแบบอนาคตด้วยมือและสมองของเราร่วมกับเทคโนโลยี

แหล่งข้อมูล

https://www.salika.co/2025/01/21/ai-transform-global-labor-market-2030/


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210