กระแสไวรัลรูปภาพที่สร้างโดย AI ว่าการถ่ายโอนสไตล์ (Style transfer) หรือการใช้ฟิลเตอร์สไตล์กับรูปภาพนั้น เป็นเทคโนโลยีที่มีอายุหลายสิบปี แต่ด้วยโมเดลภาษาภาพแบบมัลติโหมด เช่น gpt-4o ของ OpenAI ทำให้เทคโนโลยีนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามความนิยมดังกล่าวมาพร้อมกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยข้อมูลที่ตามมา การถ่ายโอนสไตล์ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการเทคโนโลยี แต่เป็นเทคนิคที่ได้รับการพัฒนามานานหลายทศวรรษ โดยหลักการสำคัญคือการนำลักษณะเฉพาะทางศิลปะหรือสไตล์จากภาพหนึ่งมาประยุกต์ใช้กับอีกภาพหนึ่ง ในอดีต กระบวนการนี้ต้องใช้ทักษะการตัดต่อภาพขั้นสูงและเวลานาน แต่ด้วยพลังของ AI ในปัจจุบัน การแปลงภาพให้มีสไตล์ต่างๆ สามารถทำได้เพียงไม่กี่วินาที
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 แอปพลิเคชันมือถืออย่าง Prisma และ Vinci เคยสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ด้วยความสามารถในการเปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดาให้กลายเป็นงานศิลปะที่มีสไตล์แบบต่างๆ ทั้งแนวคลาสสิค อิมเพรสชันนิสม์ หรือศิลปะร่วมสมัย แอปเหล่านี้ใช้การประมวลผลบนคลาวด์ผ่านนิวรัลเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์และสร้างภาพใหม่ตามสไตล์ที่เลือก
แต่สิ่งที่ทำให้การถ่ายโอนสไตล์กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในปัจจุบันคือการบูรณาการเข้ากับแพลตฟอร์มการสนทนา AI อย่าง ChatGPT ที่มาพร้อมกับ GPT-4o ซึ่งสามารถประมวลผลทั้งข้อความและภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดรูปภาพและขอให้ AI สร้างภาพเหมือนที่มีสไตล์แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่การสนทนาปกติ
แม้เทคโนโลยีการถ่ายโอนสไตล์จะสร้างความบันเทิงและความสร้างสรรค์ แต่ก็มาพร้อมกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากผู้ใช้ต้องอัปโหลดรูปภาพไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเพื่อประมวลผลหลายคนไม่ตระหนักว่าเมื่อใช้บริการเหล่านี้ รูปภาพส่วนตัวอาจถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของบริษัทและอาจถูกนำไปใช้เพื่อฝึกฝนโมเดล AI ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นโยบายความเป็นส่วนตัวของแต่ละบริการอาจมีข้อกำหนดแตกต่างกัน บางบริการอาจเก็บข้อมูลไว้เพียงชั่วคราว ในขณะที่บางบริการอาจเก็บไว้อย่างถาวร หรือแม้กระทั่งมีสิทธิ์ในการใช้ภาพเหล่านั้นในอนาคต
ความเข้าใจผิดที่สำคัญประการหนึ่งคือการมองว่าการสนทนากับ AI เป็นเรื่องส่วนตัวเหมือนการคุยกับเพื่อน ในความเป็นจริง การสนทนาเหล่านี้ถูกบันทึกและอาจถูกตรวจสอบโดยทีมพัฒนา หรือใช้เพื่อปรับปรุงระบบ AI ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลที่ส่งไปยังระบบอาจมีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือการโจมตีทางไซเบอร์
แม้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะให้คำมั่นว่าจะรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า แต่ในความเป็นจริงไม่มีระบบใดที่สมบูรณ์แบบ 100% ข้อมูลอาจรั่วไหลได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นข้อบกพร่องทางเทคนิค การโจมตีทางไซเบอร์ หรือแม้แต่การกระทำที่ไม่เหมาะสมของพนักงานภายในองค์กร
จากรายงานของ Kaspersky Digital Footprint Intelligence พบว่ามีการซื้อขายบัญชีผู้ใช้บริการ AI ที่ถูกขโมยมาในเว็บมืดและฟอรัมแฮกเกอร์จำนวนมาก ซึ่งบัญชีเหล่านี้อาจมีประวัติการสนทนาส่วนตัวและรูปภาพที่ผู้ใช้เคยอัปโหลดไว้ การละเมิดข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงแต่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การฉ้อโกงหรือการแอบอ้างตัวตนได้
รูปถ่ายโดยเฉพาะภาพบุคคลเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถเปิดเผยข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ที่อาชญากรไซเบอร์อาจนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การปลอมตัวเป็นผู้ใช้บนโซเชียลมีเดียเพื่อหลอกลวงเพื่อนหรือครอบครัว แม้ว่าภาพถ่ายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการฉ้อโกง แต่เมื่อรวมกับข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เช่น ข้อมูลทางการเงินหรือสุขภาพที่อาจเปิดเผยในการสนทนากับ AI ก็อาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโจมตีแบบเฉพาะเจาะจง (spearphishing)
เทคโนโลยีการสร้างและแปลงภาพด้วย AI มีแนวโน้มที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีบทบาทสำคัญในชีวิตดิจิทัลของเรา ในอนาคต อันใกล้ เราอาจเห็นการพัฒนาระบบที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น การประมวลผลแบบ on-device ที่ไม่ต้องส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ หรือเทคโนโลยีการเข้ารหัสแบบ federated learning ที่ช่วยให้โมเดล AI เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องเข้าถึงข้อมูลต้นฉบับของผู้ใช้
ในขณะเดียวกัน เราต้องติดตามและผลักดันให้มีการพัฒนากฎหมายและมาตรฐานด้านความเป็นส่วนตัวที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การสร้างความสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการปกป้องสิทธิของผู้ใช้เป็นสิ่งที่ท้าทายแต่จำเป็นอย่างยิ่ง
แหล่งข้อมูล