การที่เม็ดเงินกว่า 86% หรือประมาณ 1.66 หมื่นล้านบาท จากเม็ดเงินรวมทั้งหมด 1.9 หมื่นล้านบาท ที่บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ ประกาศจะลงทุนใน ‘เวิ้งนาครเขษม’ ที่ดินแปลงประวัติศาสตร์ที่เจ้าสัวเจริญประมูลซื้อในปี 2555 จากราชสกุลบริพัตรภายใต้กองมรดกรวมของ 5 ตระกูล ทำให้เป็นที่น่าสนใจว่า ภายใต้การลงทุนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
เพราะก่อนหน้านี้ วัลลภา ไตรโสรัส ซีอีโอ AWC และลูกสาวคนกลางของเจ้าสัวเจริญ เคยกล่าวถึงแผนพัฒนาโครงการเวิ้งนาครเขษมซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบไว้ว่า จะอนุรักษ์เรื่องราวประวัติศาสตร์ของทำเลและจุดกำเนิดของเวิ้งนาครเขษมไว้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว เฉกเช่นที่เคยพัฒนา Asiatique ที่ยังคงกลิ่นอายประวัติศาสตร์ท่าเรือริมน้ำและโกดังเก่าเอาไว้
ตามแผนมีการระบุว่า นอกจากเม็ดเงิน 8,265 ล้านบาท ที่ AWC ใช้ซื้อที่ดินจาก บริษัท ทีซีซี เวิ้งนาครเขษม จำกัด ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ TCC ของเจ้าสัวเจริญแล้ว เม็ดเงินอีกกว่า 8,247.8 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสบนที่ดินแปลงดังกล่าว โดยมีพื้นที่ก่อสร้างรวม 162,148 ตารางเมตร
โครงการเวิ้งนาครเขษมจะประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ โรงแรมระดับลักชัวรี, โรงแรมแบบบูติก, Branded Residence หรือคอนโดมิเนียมที่บริหารโดยแบรนด์โรงแรมลักชัวรี, Branded Residence ที่บริหารโดยแบรนด์โรงแรมบูติก และพื้นที่ค้าปลีก โดยจะมีเจดีย์จีนสูงไม่เกิน 8 ชั้น ที่จะโดดเด่นเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเยาวราชหรือไชน่าทาวน์ของไทย
ล่าสุดได้มีการเปิดเผยแล้วจาก IHG Hotels & Resorts ว่าได้ลงนามกับ AWC สำหรับการบริหารโรงแรมทั้ง 3 แห่งในประเทศไทย ประกอบไปด้วยโรงแรมแห่งใหม่ อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ ซึ่งเป็นโรงแรมแนวลักชัวรีแห่งแรกในย่านไชน่าทาวน์ และอีกสองโครงการที่จะสร้างในย่านไชน่าทาวน์และพัทยา ซึ่งรวมแล้วกว่า 629 ห้องพัก
สำหรับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ นั้น มีการระบุว่า จะถูกตั้งอยู่อย่างกลมกลืนท่ามกลางย่านประวัติศาสตร์อย่างเวิ้งนาครเขษม โดยมีห้องพักกว่า 332 ห้อง และมีกำหนดการจะเปิดบริการในปี 2569 นอกจากนี้ยังมีโรงแรมแนวไลฟ์สไตล์-บูติก ซึ่งมีจำนวนห้องพักทั้งหมด 63 ห้อง โดยโรงแรมดัดแปลงมาจากอาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิมขนาด 4 ชั้น แต่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยว่าจะเปิดช่วงไหน
ตามข้อมูลจาก IHG Hotels & Resorts ระบุด้วยว่า ภายใต้โครงการเวิ้งนาครเขษมจะมีร้านค้าปลีกใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งใหม่อย่างเจดีย์ทองคำ ที่กำลังอยู่ในแผนพัฒนา
ขณะที่อีกหนึ่งโรงแรมสไตล์บูติกภายใต้ข้อตกลงนี้ มีแผนจะเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2567 โดยโรงแรมตั้งอยู่ในโครงการอควอทีค (Aquatique) ที่ตั้งอยู่ในพัทยา ซึ่งประกอบไปด้วยโรงแรมที่มีห้องพักและห้องสวีท 234 ห้อง ห้างร้าน ร้านอาหาร และพื้นที่จัดการประชุม
“AWC ยังคงเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย และเดินหน้าลงทุนสร้างโครงการคุณภาพ เสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย” วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าว พร้อมเสริมว่า “การขยายความร่วมมือของเรากับ IHG ในครั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตด้านธุรกิจโรงแรมและการบริการของเรา ซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มมากยิ่งขึ้น”
ด้าน ราจิต สุขุมารัน กรรมการบริหาร อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (IHG) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี ระบุว่า ทางบริษัทมีแผนที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่าตัว ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
ปัจจุบัน IHG Hotels & Resorts มีโรงแรมในเครือกว่า 16 แบรนด์ และเป็นเจ้าของโรงแรมจำนวนเกือบ 6,000 แห่งใน 100 ประเทศทั่วโลก และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกกว่า 1,800 แห่ง ที่พร้อมเปิดให้บริการในอีก 5 ปีข้างหน้า
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/thestandardwealth/photos/a.183297416759288/333962995026062