- ไทยเปิด TNA เฟส 2: ประเมินความต้องการเทคโนโลยีรับมือ Climate Change รอบใหม่ หวังยกระดับแผนปฏิบัติการและคว้าเงินทุนระดับโลก
- จังหวะสำคัญ สอดคล้องเป้าหมายชาติ: ดำเนินงานในช่วงเตรียมส่ง NDCs รอบใหม่ โดยเชื่อมโยงกับเป้าหมาย Carbon Neutrality/Net Zero และแสวงหาโอกาสสนับสนุนทางการเงินระหว่างประเทศ
- ต่อยอด เน้นใช้ประโยชน์จริง: จากบทเรียนครั้งแรก มุ่งเน้นการประเมินเทคโนโลยีที่นำไปสู่การปฏิบัติจริง พร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการ (TAP) เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างความยั่งยืน
โครงการประเมินความต้องการเทคโนโลยี (Technology Needs Assessment หรือ TNA) ระยะที่ 2 อย่างเป็นทางการ โครงการริเริ่มที่สำคัญนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ศูนย์ความร่วมมือโคเปนเฮเกนด้านภูมิอากาศ (UNEP Copenhagen Climate Center หรือ UNEP CCC) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อระบุ ประเมิน และจัดลำดับความสำคัญของเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) ที่สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของประเทศไทย
การเปิดตัวโครงการ TNA ระยะที่ 2 ในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โลกกำลังจับจ้องไปที่การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่นานาชาติตรียมยื่นรายงานการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions หรือ NDCs) รอบใหม่ ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศา และมุ่งมั่นที่จะจำกัดให้ต่ำกว่า 1.5 องศา เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
บริบทและความสำคัญของโครงการ TNA
โครงการประเมินความต้องการเทคโนโลยี (TNA) ไม่ใช่แนวคิดใหม่ภายใต้กรอบ UNFCCC หากแต่เป็นกลไกสำคัญที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถระบุและวิเคราะห์ความต้องการด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของตนเอง หลักการสำคัญของ TNA คือ “Country-Driven” หรือการขับเคลื่อนโดยประเทศ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การนำของประเทศนั้นๆ โดยได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคและการเงินจากหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น UNEP และกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility หรือ GEF)
ดร. สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่าการขับเคลื่อนโครงการ TNA ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ได้อธิบายถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า “TNA เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถระบุเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ทั้งในด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนต่างๆ เช่น พลังงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการขนส่ง รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยในการปรับตัวต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วและที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น การจัดการน้ำ การเกษตรที่ยั่งยืน และการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ”
ยิ่งไปกว่านั้น ในบริบทของการเตรียมการยื่น NDCs รอบใหม่ NDCs ที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงนั้น จะต้องไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายที่สวยหรูบนกระดาษ แต่จะต้องเป็นเป้าหมายที่สามารถหาแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนการดำเนินงานได้ (Financiable) และสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้ (Implementable) ซึ่ง TNA จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาแผนปฏิบัติการ (Implementation Roadmaps) สำหรับลำดับความสำคัญของ NDCs เหล่านั้น
บทบาทของ สอวช. ในการขับเคลื่อน TNA ระยะที่ 2
สอวช. ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลัก (Lead Organization) ในการดำเนินงานโครงการ TNA ระยะที่ 2 ของประเทศไทย โดยทำหน้าที่เป็น TNA Coordinator ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และองค์การระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อให้กระบวนการประเมินความต้องการเทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
TNA: เครื่องมือสำคัญในการปลดล็อกเงินทุนเพื่อเทคโนโลยีสีเขียว
มิสซาราห์ เทรา จาก UNEP CCC กล่าวว่า ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่าง TNA กับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเทคโนโลยีสีเขียว โดยเธอมองว่า TNA ไม่ได้เป็นเพียงแค่การประเมินความต้องการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ในการปลดล็อกเงินทุน (Unlocking Capital) สำหรับเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ”
“เมื่อประเทศต่างๆ สามารถระบุความต้องการเทคโนโลยีที่ชัดเจนและมีแผนปฏิบัติการที่แข็งแกร่งผ่านกระบวนการ TNA แล้ว จะทำให้สามารถนำเสนอโครงการที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนจากแหล่งต่างๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากภาครัฐ ภาคเอกชน หรือจากกลไกทางการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund หรือ GCF) และกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF)”
ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงเงินทุนเพื่อการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีขั้นสูงบางประเภท เช่น Green Hydrogen และ Carbon Capture, Utilization, and Storage (CCUS) ซึ่งยังมีต้นทุนที่สูงเกินกว่าที่ภาคเอกชนจะสามารถลงทุนได้โดยลำพัง
แนวทางการดำเนินงาน TNA ระยะที่ 2
สอวช. วางแนวทาง TNA ระยะที่ 2 อย่างครอบคลุม โดยเน้น
- คาดการณ์อนาคต: ใช้ศาสตร์ Foresight ประเมินเทคโนโลยีระยะยาว
- ร่วมมือทุกภาคส่วน: ทำงานใกล้ชิดรัฐ เอกชน วิชาการ
- บูรณาการแผน: เชื่อมโยงกับแผน อว. และยุทธศาสตร์ชาติ (Carbon Neutrality 2050, Net Zero 2065)
- สอดคล้อง CTCN: เพิ่มโอกาสรับการสนับสนุนทางเทคนิค
- มุ่งสู่เงินทุน: แสวงหาแหล่งทุนระหว่างประเทศ (GCF, GEF, AIIB)
- ต่อยอดจากครั้งแรก: เน้นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์และใช้ได้จริง
- พิจารณาภาคส่วนสำคัญ: เบื้องต้นเน้นพลังงาน (SMR, Micro Reactor), เกษตร (คาร์บอนต่ำ, แม่นยำ), และ Adaptation (Nature-Based Solutions)
- มีกระบวนการชัดเจน: จัดตั้งคณะกรรมการกำกับ, ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ
- จัดทำแผนปฏิบัติการ (TAP): ระบุแนวทางการนำเทคโนโลยีไปใช้จริง
- รับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: เน้นย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมเพื่อระบุความต้องการที่แท้จริง
โครงการประเมินความต้องการเทคโนโลยี (TNA) ระยะที่ 2 จึงเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การระบุความต้องการเทคโนโลยีที่ชัดเจน การจัดทำแผนปฏิบัติการที่แข็งแกร่ง และการแสวงหาโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป
แหล่งข้อมูล