ตลาดแรงงานไทยในยุค AI: ทางรอดอยู่ที่การพัฒนาคน

Loading

ตลาดแรงงานไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการเร่งตัวของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการใช้ข้อมูล (Data) ที่แทรกซึมเข้าสู่ทุกภาคเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

งานวิจัยจาก McKinsey & Company คาดว่า Generative AI จะสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 2.6-4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 88-149.6 ล้านล้านบาท)  โดยอุตสาหกรรมที่ได้อานิสงส์สูงสุด ได้แก่ ธนาคาร เทคโนโลยีขั้นสูง และชีววิทยาศาสตร์

ภาคธนาคารเพียงอุตสาหกรรมเดียวมีศักยภาพเพิ่มรายได้อีก 2-3.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 6.8-11.56 ล้านล้านบาท)  ขณะที่ภาคค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภคสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อีก 4-6.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 13.6-22.44 ล้านล้านบาท)

ในประเทศไทย รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาแรงงาน AI จำนวน 50,000 คนใน 5 ปี ผ่านการขับเคลื่อนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) เพื่อรองรับการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมครั้งสำคัญ ขณะที่รายงาน 2024 Work Trend Index ของ Microsoft และ LinkedIn พบว่า 92% ของพนักงานไทยใช้งาน AI ในการทำงานแล้ว สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 75% อย่างไรก็ตาม 81% ของผู้ใช้งาน AI ในไทยยังคงนำเครื่องมือ AI ส่วนตัวมาใช้ในงาน (Bring Your Own AI) สะท้อนปัญหาการขาดแคลนกลยุทธ์การใช้ AI ในระดับองค์กรและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูล

ข้อมูลจาก World Economic Forum ยังตอกย้ำถึงแนวโน้มเร่งตัวนี้ โดยระบุว่า จำนวนผู้ที่เพิ่มทักษะด้าน AI ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 177% ตั้งแต่ปี 2018 แม้แต่ในสายงานที่ไม่ใช่เทคโนโลยี เช่น การตลาด การขาย และสุขภาพ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับทักษะด้าน AI มากยิ่งขึ้น ​

Generative AI: คลื่นดิจิทัลลูกใหม่ที่ทรงพลัง

นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) มองว่า Generative AI เป็น “Digital Transformation ระลอกใหม่” ที่กำลังแปรเปลี่ยนโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว ด้วยความง่ายในการใช้งานผ่านการสั่งการด้วยภาษาธรรมดา ทำให้คนจำนวนมหาศาลสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านโค้ดดิ้งเหมือนในอดีต

“Generative AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเป็นเครื่องมือสร้างความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญ ท่ามกลางเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข่งขันสูงขึ้นทุกวัน” นางสาวมณีรัตน์กล่าว พร้อมเสริมว่า องค์กรที่มองเห็นโอกาสนี้จะสามารถใช้ Generative AI เป็นตัวเร่งสร้างนวัตกรรมและเป็น Disruptor ในอุตสาหกรรมตนเอง แทนที่จะเป็นฝ่ายถูก Disrupt

ในทางปฏิบัติ องค์กรไทยหลายแห่งเริ่มนำ Generative AI มาใช้แล้วในหลากหลายงาน เช่น งานที่ทำซ้ำๆ เช่น การบริการลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ การจัดการระบบโลจิสติกส์ และการขาย แม้การนำ AI มาใช้จะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก แต่ก็ทำให้บทบาทและความรับผิดชอบของพนักงานเปลี่ยนแปลงไปด้วย”

นางสาวมณีรัตน์เน้นย้ำว่า “อนาคตของการทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ ‘คน’ ที่ต้องพัฒนาให้พร้อมเติบโตไปกับเทคโนโลยี”

กลยุทธ์สำคัญ: พัฒนาคนและกำกับดูแลข้อมูล

เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องดำเนินการสองด้านควบคู่กัน คือ การพัฒนาทักษะคน (Upskill-Reskill) และการวางกรอบกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance)

ข้อมูลจาก PwC ประเทศไทย ชี้ว่า AI Agent หรือ ตัวแทน AI ซึ่งทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างอัตโนมัติ ทั้งการประมวลผลข้อมูล การตัดสินใจ และการโต้ตอบ กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ในภาคธุรกิจไทย เช่น การเงิน ค้าปลีก และโลจิสติกส์

ตัวอย่างการใช้เช่น: บริการทางการเงิน: วิเคราะห์ข้อมูล, ตรวจสอบธุรกรรม , ค้าปลีก/อีคอมเมิร์ซ: วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า, บริหารสินค้าคงคลัง   และ โลจิสติกส์: วางแผนเส้นทาง, ติดตามการจัดส่ง

ดร.ภิรตา ภักดีสัตยพงศ์  หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย ชี้ว่า AI Agent สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตในองค์กรได้กว่า 50% แต่ในทางกลับกัน ก็อาจทำให้ตำแหน่งงานบางประเภท โดยเฉพาะงานซ้ำซากและทักษะต่ำ ถูกลดบทบาทลง ดังนั้น การวางกลยุทธ์รับมืออย่างรอบคอบจึงมีความจำเป็น เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการเพิ่มประสิทธิภาพและการดูแลแรงงานในองค์กร

กรณีศึกษา Sea (ประเทศไทย): ปั้นพนักงานยุค AI

Sea (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในองค์กรที่เดินหน้ายกระดับทักษะพนักงานรับยุค AI โดยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และอนุมัติให้พนักงานใช้ Generative AI เป็นเครื่องมือประจำวันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาทำงานจำเจ เพิ่มเวลาโฟกัสงานอิมแพคสูง

Sea (ประเทศไทย) ยังสนับสนุนการอบรมใช้งาน AI อย่างถูกต้องและปลอดภัย พร้อมกำหนดแนวทางการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมาย พนักงานมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ไปจนถึงการตัดสินใจว่าจะนำผลลัพธ์ไปใช้ต่อยอดอย่างไร เฉกเช่นเดียวกับการประเมินข้อมูล (Data) ในยุคก่อนหน้า

นางสาวมณีรัตน์ เน้นย้ำว่า “Generative AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยทุ่นแรง ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดยังคงเป็นมนุษย์ที่รู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณ”

ทางรอดในยุค AI

“ความสามารถในการอยู่รอดและเติบโตในยุค AI ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการสร้างทักษะที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง หากภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ร่วมมือกันพัฒนาทักษะ AI ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไทยจะสามารถขยายการเข้าถึงเครื่องมือและความรู้ด้าน AI ลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี และเตรียมแรงงานให้พร้อมย้ายไปสู่งานที่มีมูลค่าสูงขึ้น

นอกจากนี้ ธุรกิจไทยควรมีการกำหนดเป้าหมายการใช้ AI อย่างชัดเจน ออกแบบการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI Agent และลงทุนอย่างจริงจังในการยกระดับทักษะพนักงาน พร้อมสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจภายในองค์กร” นางสาวมณีรัตน์กล่าวปิดท้าย

ในที่สุด การพัฒนาทักษะ AI อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมจะเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย บนเวทีเศรษฐกิจโลกในอนาคต

แหล่งข้อมูล

https://www.thansettakij.com/special-pr/technology/ai/626799


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210