ไทยวางแผน 8 ปี เปิดประตูสู่ ‘ดิจิทัลสีเขียว’ ในโลกยุคใหม่ที่ยั่งยืน

Loading

  • เป้าหมายหลัก: สร้างเศรษฐกิจดิจิทัลยั่งยืน, พัฒนาบุคลากรดิจิทัล, สร้างอุตสาหกรรมดิจิทัล, ยกระดับขีดความสามารถแข่งขัน
  • ภาคส่วนสำคัญ: เกษตรกรรม (ดิจิทัลเพิ่มผลผลิต), ธุรกิจ (ปรับสู่ดิจิทัล), บุคลากร (พัฒนาทักษะ), เมือง & โครงสร้างพื้นฐาน (เมืองอัจฉริยะ)
  • Big Data: วิเคราะห์โอกาส, เชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ-เอกชน
  • AI: เติบโตแต่ต้องมีธรรมาภิบาล, พัฒนาตามมาตรฐาน
  • ประเด็นสำคัญ: สร้างระบบนิเวศดึงดูดลงทุน, แก้กฎหมาย AI, เน้นลงทุนกระจายรายได้, เตรียมพร้อมบุคลากร

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ โดยมุ่งหน้าสู่การเป็น“เศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การนำของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา แผนพัฒนาระยะยาว 8 ปีนี้ มีเป้าหมายหลักในการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัล และพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก

กษมา กองสมัคร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ DEPA กล่าวในงาน NAVIGATING THAILAND’S SUSTAINABLE DIGITAL FUTURE  ว่าวิสัยทัศน์และแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมในหลายมิติ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคเกษตรกรรม ภาคธุรกิจ ไปจนถึงการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน

ภาคเกษตรกรรม: เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มผลผลิตและการตลาด

ภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย กำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว เกษตรกรและผู้ประกอบการในภาคส่วนนี้เริ่มตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และขยายช่องทางการตลาดออนไลน์ DEPA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังทำงานร่วมกันในการปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคเกษตรกรรมให้ง่ายยิ่งขึ้น ส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการซื้อขายผลผลิต การจัดการข้อมูลการเพาะปลูก และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ภาคธุรกิจ: ขยายฐานทั่วประเทศ

การปรับตัวสู่ดิจิทัล สำหรับภาคธุรกิจ มีการวางแผนที่จะขยายกิจการไปทั่วประเทศ โดยมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ที่ภูเก็ต สงขลา และภาคกลาง ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีการวางกลยุทธ์ 10 ข้อในการขยายธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ธุรกิจต่างๆ เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรให้สามารถแข่งขันได้ในโลกยุคใหม่

การพัฒนาบุคลากร: ปั้นโปรแกรมเมอร์ไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลคือการพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างและพัฒนาโปรแกรมเมอร์ชาวไทยให้มีทักษะและความสามารถที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ทั้งในปัจจุบันและอนาคต DEPA และสถาบันการศึกษาต่างๆ กำลังร่วมมือกันในการพัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรม ที่มุ่งเน้นการสร้างทักษะด้านการเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศ

การพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน: สู่เมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่

การพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยกำลังมีการเปลี่ยนแปลงเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยมีการนำโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในการพัฒนาให้เมืองมีความน่าอยู่ ปลอดภัย และยั่งยืน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่แข็งแกร่ง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล

รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ได้ให้ภาพรวมที่สำคัญของการวิเคราะห์และพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในประเทศไทย โดยกล่าวว่า ประเทศกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้มข้น เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ๆ และนำข้อมูลที่มีอยู่มากมายมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้นจะช่วยให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การทำงานร่วมกันและการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและการทำงานร่วมกัน เป็นสิ่งสำคัญในการยกระดับการบริการประชาชนและภาคเอกชน

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ยังให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ระบบบริการสาธารณะ เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงบริการภาครัฐ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการพัฒนาทักษะและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการให้บริการ หัวใจสำคัญคือการสร้างกลไกการเชื่อมโยงข้อมูล ที่แข็งแกร่งระหว่างหน่วยงานต่างๆ ซึ่งปัจจุบันยังคงมีปัญหาเรื่องการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ร่วมกันอยู่ กระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและใช้เวลานานก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องปรับปรุง

รจนา ล้ำเลิศ หัวหน้าทีมศูนย์ Al Governance Center: AIGC และที่ปรึกษา สพธอ. กล่าวว่า ภาพรวมของการขับเคลื่อน AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ Big Data (ข้อมูลขนาดใหญ่) ในประเทศไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าความพร้อมของหน่วยงานระดับชาติในการนำ AI ไปใช้จะยังอยู่ที่ 15.2% แต่ก็มีการประเมินความพร้อมและการนำ AI ไปใช้ในองค์กรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและแนวโน้ม พบว่าอัตราการใช้งาน AI มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จาก 17.8% เมื่อปีที่แล้ว มาเป็น 73% ในปัจจุบัน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยในปีนี้ พร้อมกับการแก้ไขส่วนที่ชำรุด อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ต้องตระหนักถึง แม้ว่าความสำคัญของ AI ในการทำงานจะเพิ่มขึ้นถึง 55.1% แต่ด้านธรรมาภิบาล AI ยังไม่ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวาง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ควรมาพร้อมกับการพิจารณาผลกระทบและความเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่วันแรก

ประเทศได้วางแผนงานแห่งชาติขับเคลื่อนเทคโนโลยีที่ชัดเจน

โดยมี 5 ด้าน โดยมีการวิเคราะห์การใช้เทคโนโลยีในประเทศและความร่วมมือกับอาเซียน ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงดิจิทัล ร่วมกันขับเคลื่อนแผนงานนี้ ในการพัฒนา AI อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีหลักการพัฒนา AI ที่ยั่งยืน ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และคำนึงถึงกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนา ตรวจสอบ และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพิจารณาถึงการประเมินความคุ้มค่าและความน่าเชื่อถือของระบบ AI เป็นสิ่งสำคัญ โดยการตัดสินใจต้องมาพร้อมกับการอบรมและการรับผิดชอบที่ชัดเจน เนื่องจากระบบ AI มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจทางการเงินและการอนุมัติ ความน่าเชื่อถือของกระบวนการ AI จึงเป็นหัวใจสำคัญของการใช้งาน ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริม AI ผ่านการวิจัยและพัฒนาในหลายด้าน การออกกฎหมายและนโยบายเพื่อสนับสนุนการใช้ AI รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI และการนำไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ

การประเมินความพร้อมใช้งาน AI ในองค์กร

 มีการใช้ช่องทางต่างๆ เช่น แอปพลิเคชันไลน์ เพื่อสอบถามข้อมูล และมีการประเมินความพร้อมโดยใช้หลักฐานและภาพประกอบ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับแผนการพัฒนาและการใช้ AI ในองค์กร นั้น ยังเป็นแนวคิดเบื้องต้น โดยมีการกำหนดความรับผิดชอบในการพัฒนาและใช้งาน และมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการใช้งาน AI สุดท้าย การประเมินและบริหารจัดการ AI เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพ วิเคราะห์ความเสี่ยง และวางมาตรการควบคุมเพื่อความยั่งยืน

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1177893


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210