ไม่ใช่แค่งานแถลงข่าวยานำเข้าทั่วไป โดย บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด (Roche) เท่านั้น เพราะในครั้งนี้เป็นการสื่อสารถึง “ความหวังครั้งล่าสุด” กับการนำเข้า ยาแอนติบอดีแบบผสม หรือ แอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) ผลิตภัณฑ์ที่ โรช (Roche) และ รีเจนเนอรอน (Regeneron) ร่วมกันพัฒนาขึ้น และได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศให้ใช้ เพื่อการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้ว โดยในการแถลงมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงเรียนแพทย์ชั้นนำในประเทศของไทย มาเป็นผู้ยืนยันถึงประสิทธิภาพของยาต้านโควิดตัวนี้ ที่มีผลการศึกษาในระดับสากลยืนยันแล้วว่า ช่วยบรรเทาอาการรุนแรงในผู้ป่วยโควิด ลดภาวะการถือครองเตียง และวิกฤต เตียงเต็ม อย่างได้ผลถึง 70 เปอร์เซ็นต์
เพราะ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในประเทศไทย ที่ทำสถิติทะลุ “นิวไฮ” แทบทุกวัน อย่างในวันนี้ 31 กรกฎาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 18,912 ราย และผู้เสียชีวิตสูงถึง 178 ศพ แล้ว และด้วยยอด นิวไฮ ของผู้ติดเชื้อรายใหม่นี่เอง ที่ทำให้ปัญหา เตียงเต็ม กลายเป็นวิกฤตที่ยากต่อการแก้ไขอยู่ในตอนนี้
ดังนั้น เมื่อมีข่าวยืนยันแล้วว่า แอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มภูมิลบล้างฤทธิ์และเป็นยาที่ผลิตขึ้นสำหรับต้านไวรัสโควิด-19 ตัวแรก ที่มีผลการศึกษาจากต่างประเทศชี้ชัดว่า ลดการนอนรพ. ลดเข้าห้องไอซียูได้ถึง 70% แก้วิกฤตเตียงเต็มในประเทศไทยในตอนนี้อย่างได้ผล จึงเป็นเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ ที่อาจจะทำให้ข่าวการคาดการณ์ร้ายๆของสถานการณ์การแพร่ระบาด “โรคโควิด-19” ดีขึ้นได้ ไม่มากก็น้อย
แอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) ยาต้านไวรัสโควิด-19 ตัวแรก มีดีอะไร?
ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ อธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกับ แอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) ยาต้านไวรัสโควิด-19 ให้มากขึ้น ในงานแถลงข่าว “เจาะลึก ตัวเลือกการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 กับ แอนติบอดี ค็อกเทล (antibody cocktail) เพื่อช่วยรับมือกับวิกฤต” จัดโดย บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด ว่า
“ยาแอนติบอดี ค็อกเทล มีกลไกระงับยับยั้งไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ (NmAbs) คำนี้อาจเป็นคำใหม่ที่หลายคนเพิ่งเคยได้ยิน แต่ในมุการรักษาโควิด 19 ถือเป็นอาวุธทางการแพทย์อีกชิ้นหนึ่งที่จะช่วยให้แพทย์รักษาผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น”
โดยโรค โควิด 19 อย่างที่ทุกคนทราบกันดี เกิดจากไวรัสตระกูลโคโรน่า มาจากคำว่า Corona ที่แปลว่า มงกุฎ เพราะรูปร่างของไวรัสตัวนี้มีลักษณะเหมือนมงกุฎ จึงเป็นที่มาของชื่อนี้ และที่ผิวของไวรัสมีโปรตีนเหมือนหนาม ซึ่งโปรตีนนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ไวรัสเข้าไปจับกับผิวของเซลล์มนุษย์ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้”
“และการที่โปรตีนหนามนี่เอง ที่ทำให้ไปจับกับโปรตีน ACE2 บนผิวของเซลล์คน ซึ่งตัว ACE2 มีความจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ในคนและพบได้ในหลากหลายอวัยวะ มีบทบาทสำคัญในการป้องกันระบบทำงานของปอด ระบบหัวใจและหลอดเลือดด้วย”
“โดยคนที่ติดโควิด-19 และหายดีแล้วก็จะมีตัวแอนติบอดี ซึ่งแอนติบอดี ค็อกเทล นี้ จะอาศัยคัดกรองจากคนไข้ที่เคยติดเชื้อโควิดและหาย หรือสัตว์ที่ทำการทดลองหาย มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีฤทธิ์สูงในการยับยั้งเชื้อโควิด-19 และได้มีการนำไปทดลองในเซลล์ที่เป็นเป้าหมาย แล้วสกัดภูมิคุ้มกันนี้ออกมา ทำให้ได้แอนติบอดี้ ที่ยับยั้งเชื้อได้โดยตรง”
“กลไกของการทำงาน แอนติบอดี ค็อกเทลนี้ จะช่วยทำให้ไวรัสอ่อนกำลังลง และตรงเข้าจับกับตัวรับบนโปรตีนรูปแบบเดือยบนผิวของไวรัส SAR-CoV-2 ได้แน่นและเฉพาะเจาะจง ทำให้ไวรัสอ่อนกำลังลงและยับยั้งการติดเชื้อภายในร่างกายมนุษย์ได้ โดยจากการทดลองในห้องปฎิบัติการ ยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์มีความไว ต่อไวรัสโควิด-19 ในสายพันธุ์ต่างๆ ด้วย”
“ทั้งนี้ ยานี้แตกต่างจากวัคซีนตรงที่วัคซีนใช้สำหรับป้องกันบุคคลทั่วไปก่อนที่จะไปสัมผัสหรือรับเชื้อ (pre-exposure prophylaxis) ในขณะที่กลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ ซึ่งรวมถึงยาแอนติบอดี ค็อกเทล มีคำแนะนำการใช้ในกลุ่มที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อและมีอาการอยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง รวมทั้งเป็นผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการลุกลามไปสู่ระดับรุนแรง” ศ.นพ.มานพ กล่าวยืนยัน
แอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) ลดภาวะ เตียงเต็ม อย่างได้ผล ได้อย่างไร?
ดังที่เกริ่นข้างต้นแล้วว่า การใช้ยา แอนติบอดี ค็อกเทล สามารถลดภาวะการถือครองเตียและวิกฤตเตียงเต็มอย่างได้ผล ในประเด็นนี้ ศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณากุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายเพิ่มเติมว่า
“ขณะนี้ผลการศึกษาแอนติบอดี จะเป็นการศึกษาผู้ป่วยโควิด 19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตยาตัวดังกล่าว โดยผลการศึกษาประสิทธิภาพของแอนติบอดี ค็อกเทล จะดำเนินการในการรักษา ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง ซึ่งถ้าในประเทศไทยก็จะเป็นการใช้ใน ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว และกลุ่มสีเหลืองเท่านั้น”
“โดยการศึกษาครั้งนี้ ได้ดำเนินการถึงเฟส 3 และมีการใช้ในกลุ่มผู้ป่วยอาการน้อยถึงปานกลาง และไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จำนวน 4,567 ราย โดยจะต้องเป็นผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการไม่เกิน 7 วัน ไม่เคยได้รับ ยารักษาโควิด 19 มาก่อน และมีความเสี่ยงที่มีอาการโควิดจะลุกลามไปสู่ระดับรุนแรง เป็นผู้ป่วยโรคอ้วน 58% โรคหัวใจและหลอดเลือด 36% และผู้ป่วยที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป 51 %”
“ผลการศึกษาจากงานวิจัยดังกล่าวพบว่ายาแอนติบอดี ค็อกเทล 1,200 มก.สามารถช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือดลงได้ ช่วยลดความเสี่ยงที่โรคโควิด-19 จะลุกลามไปสู่ระดับรุนแรงได้ 70% และยังสามารถช่วยลดระยะเวลาความเจ็บป่วยจากโควิด-19 จากต้องมาอยู่โรงพยาบาลประมาณ 14 วัน เหลือแค่ 10 วัน ลดลงได้ถึง 4 วัน นี่จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า ยาแอนติบอดี ค็อกเทล เป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะมาช่วยแก้วิกฤตเตียงเต็มที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่อย่างได้ผลเช่นกัน”
“แต่อย่างไรก็ดี จากผลการศึกษาในเรื่องความปลอดภัย พบว่าผู้ป่วยโควิด 19 ที่ได้รับแอนติบอดี ค็อกเทล ไม่แสดงอาการข้างเคียงที่เกิดจากการได้รับยา อย่างไรก็ตาม อาจพบอาการข้างเคียงทั่วไปที่เจอได้ในยาฉีด เช่น ปฎิกิริยาแพ้แบบรุนแรงและเฉียบพลัน หรือภาวะภูมิไวเกิน”
ศ.พญ.ศศิโสภิณ กล่าวอีกว่า แอนติบอดี ค็อกเทล มีประสิทธิภาพทางคลินิกเป็นที่น่าพึงพอใจ ในแง่การลดจำนวนไวรัส และสามารถใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง และเป็นยาที่จัดอยู่ในกลุ่มยาภูมิต้านทานลบล้างฤทธิ์ ประกอบด้วยแอนติบอดี 2 ชนิดที่ยับยั้งไวรัสไม่ให้เข้าไปในเซลล์ โดบผลการศึกษาระบุว่า สามารถยับยั้งสายพันธุ์ต่างๆ ของโควิดเท่าที่พบในปัจจุบันได้
“ผลการทดสอบจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health – NIH) ระบุว่ายาแอนติบอดี ค็อกเทลมีความไวต่อสายพันธุ์ต่าง ๆ ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่น เบตา (Beta) อัลฟา (Alpha) แกมมา (Gamma) เดลตา (Delta) แต่ยังไม่มีผลการทดลองในมนุษย์ (in vivo)”
ฟังจากปากหมอ ใช้ยาแอนติบอดี ค็อกเทล แก้วิกฤต ‘เตียงเต็ม’ ในไทยอย่างไร จึงได้ประโยชน์สูงสุด
ด้าน นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร ได้กล่าวถึงแนวทางการใช้ยานี้ทั้งในต่างประเทศ และแนวทางที่จะใช้ยาแอนติบอดี ค็อกเทล รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในไทยว่า
“ข้อแนะนำการใช้กลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ ที่ สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health – NIH) และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา (Infectious Diseases Society of America – IDSA) ประกาศออกมา ได้เน้นย้ำให้ใช้อย่างมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization – EUA) เพื่อให้ใช้เป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการระดับน้อยถึงปานกลาง และผู้ป่วยโควิด-19ที่มีความเสี่ยงสูงที่โรคจะดำเนินไปสู่ระดับรุนแรง”
“และการเลือกใช้ยาในกลุ่ม ภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ ให้คำนึงถึงความไวและจำเพาะต่อชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ส่วนข้อมูลประสิทธิภาพยาในกลุ่มภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ยังมีค่อนข้างจำกัด”
“ภายใน 30 วันหลังผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีความเสี่ยงสูงได้รับกลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ ผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลงที่จะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือ เข้าห้องฉุกเฉินเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยา อีกทั้ง กลุ่มยาดังกล่าวยังมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอีกด้วย”
ด้วยเหตุนี้ นพ.วีรวัฒน์ จึงให้ความเห็นว่า ยาแอนติบอดี ค็อกเทล สามารถเป็นตัวเลือกทางการรักษา เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่างๆ ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดนี้ได้ หากนำไปใช้ให้ตรงตามข้อบ่งใช้จะสามารถช่วยลดผลกระทบของอาการ และการติดเชื้อสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้อาการของโรครุนแรง เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงแพทย์และการดูแลที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ว่าด้วยระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาลที่สั้นลงสำหรับผู้ป่วย
“ส่วนการนำยาแอนติบอดี ค็อกเทล มาใช้ในไทยจะเริ่มมีการใช้ในวันนี้ (30 ก.ค.2564) เพราะยาเพิ่งเข้ามาประเทศในวันนี้ สำหรับความปลอดภัยของยา จากการทดลองชี้ให้เห็นว่ามีความปลอดภัยและจากการใช้ในหลายประเทศไม่พบปฎิกิริยารุนแรง”
“โดยในส่วนของการนำมาใช้ในไทยนั้น จะเริ่มใช้ในวันนี้แก่ผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเขียว กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง และกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้อาการของโรครุนแรง คือ กลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และอ้วน ในเบื้องต้น จะให้ในปริมาณ 1,200 มก. เป็นยาฉีด ผ่านทางเส้นเลือด ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง และสังเกตอาการ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นผู้ป่วยกลับบ้านเพื่อติดตามอาการต่อไป”
“อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่มากนี้ แม้จะมียาแอนติบอดีแบบผสมมาใช้นั้น แต่ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองจากการแพร่กระจายเชื้ออย่างเคร่งครัด เพราะตอนนี้เชื้อแพร่กระจายและระบาดในภาวะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การใส่หน้ากาก การล้างมือ การเว้นระยะห่าง การรับวัคซีน เพื่อป้องกันตนเอง ป้องกันคนที่เรารัก ป้องกันสังคม และประเทศชาติ จึงยังคงเป็นอาวุธสำคัญของชาวไทยในการต่อสู้กับโรคระบาดในครั้งนี้” นพ.วีรวัฒน์ กล่าวในที่สุด
แหล่งข้อมูล
https://www.salika.co/2021/07/31/antibody-cocktail-new-hope-fight-covid/