Telenor Research เผย ‘EdTech & Green Tech’ อยู่ใน 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญแห่งปี 2021

Loading

ปี 2020 โลกคงต้องจารึกว่าเป็น ‘ปีแห่งความท้าทายแห่งศตวรรษ’ เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้าน…มากถึงมากที่สุด

ข้อมูลที่น่าสนใจจากศูนย์วิจัยเทเลนอร์ (Telenor Research)

ทีม SALIKA ได้ร่วมรับฟัง บียอน ทาล แซนเบิร์ก ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเทเลนอร์ หน่วยงานวิจัยภายใต้เทเลนอร์กรุ๊ป กล่าวผ่าน Virtual Conference ทาง dtacblog ในหัวข้อ 5 เทรนด์เทคโนโลยีมาแรง ปี 2021 โดย ศูนย์วิจัยเทเลนอร์ ภายใต้เทเลนอร์กรุ๊ป ชี้ว่าวิกฤตโควิด-19 เร่งการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแนวโน้มเทคโนโลยีในปี 2021 ตั้งแต่การพัฒนาเพื่อบรรเทาสุขภาพจิตจากความเหงา ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไปในโลกการทำงาน ความปลอดภัยทางดิจิทัล และปัญหาโลกร้อน

“ในปี 2564 นี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตของคนในสังคม ไปจนถึงปัญหาโลกร้อน ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลที่เกิดอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา ยังทำให้ปัญหาสังคมเดิมประจักษ์ชัดขึ้น โดยเฉพาะ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการความปลอดภัยทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นทำให้เกิด วิถีการทำงานแบบใหม่ ที่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์แห่งการทำงานไปตลอดกาล” บียอนกล่าว

ปีนี้เป็นปี่ที่ 6 ที่ศูนย์วิจัยเทเลนอร์รวบรวมและวิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2563 และคาดการณ์แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 แนวโน้มสำคัญ ดังนี้

เทรนด์ที่ 1 โควิด-19 ทำให้เกิดเทคโนโลยีคลายเหงา

เมื่อโควิด-19 ระบาดมากขึ้น หลายภาคส่วนจึงมีมาตรการต่างๆ เพื่อให้ผู้คนเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น มาตรการทำงานที่บ้าน (Work from home) แม้มาตรการจะช่วยลดผลกระทบทางสุขภาพกาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ผลกระทบทางสุขภาพจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลและอาการซึมเศร้าที่เกิดจากความเหงา

ศูนย์วิจัยเทเลนอร์คาดว่า จะมีการพัฒนา eHealth หรือ การใช้เทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสนับสนุนการให้บริการด้านสุขภาพ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทางสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 มากขึ้น เช่น

การใช้เทคโนโลยี AR และ VR ผสานกับเทคโนโลยีฮาโลแกรม เพื่อให้เกิดสัมผัสเสมือนเมื่อมีการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งต่างจากการวิดีโอคอลในปัจจุบัน

การพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อคลายความเหงามากขึ้น ซึ่งหุ่นยนต์ที่ว่านี้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้ตอบโต้ ตอบคำถาม พูดคุยกับมนุษย์ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น

เทรนด์ที่ 2 โควิด-19 สร้างเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลายเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้คนในสังคมโลกตื่นตัวกับประเด็น “ความยั่งยืน” มากยิ่งขึ้น ซึ่งหนึ่งในปัญหาแห่งศตวรรษที่โลกกำลังเผชิญก็คือ “ภาวะโลกร้อน”

วิกฤตโควิด-19 ได้เร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ลดการเดินทาง เกิด “วิถีชีวิตปกติใหม่” (New normal) ในประเด็นนี้ ศูนย์วิจัยเทเลนอร์เชื่อว่า หน่วยงานรัฐจะอาศัยจังหวะนี้สานต่อและผลักดันกระแสความยั่งยืนและเทคโนโลยีดิจิทัลให้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานอย่างเข้มข้น และนั่นจะส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ

งานวิจัยของ World Economic Forum ระบุว่า เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกได้ถึง 15%

นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งผสานการใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานสะอาดอื่นๆ เข้าด้วยกันมากขึ้น รวมถึงพยากรณ์แนวโน้มการใช้พลังงานของเมืองได้

ขณะเดียวกัน เราจะเห็นการใช้เทคโนโลยี TinyML หรือ การเรียนรู้ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นจุดตัดของการเรียนรู้ของ IoT อีกขั้นหนึ่ง โดยเป็นสาขาวิชาวิศวกรรมที่เกิดขึ้นใหม่และมีศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ ในอนาคต โดยนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจะทำให้มีการประยุกต์ใช้ TinyML มากขึ้น เช่น ใช้กับโดรนถ่ายภาพเพื่อสำรวจสภาพอากาศ หรือใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยเกษตรกรทำงานได้อย่างแม่นยำ ลดการเกิดผลกระทบทางสภาวะแวดล้อมในภาคการเกษตร

เทรนด์ที่ 3 Digital Dementia ภาวะสมองเสื่อมจากดิจิทัล

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในอัตราเร่ง ทำให้เราใช้บริการดิจิทัลผ่านอุปกรณ์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น จำนวนบัญชีที่เพิ่มขึ้น ไฟล์ที่มากขึ้น จึงนำมาสู่ มาตรการความปลอดภัยทางดิจิทัล ที่มากขึ้นเช่นกัน

ปี 2021 นี้ ผู้คนจะเผชิญกับภาวะ Digital Dementia หรืออาการสมองเสื่อมจากการใช้บริการดิจิทัลที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พาสเวิร์ด” ที่ปัจจุบันผู้ให้บริการต่างกำหนดให้ตั้งพาสเวิร์ดโดยใช้ทั้งตัวเลข เครื่องหมาย และตัวอักษร เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น และจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ทุก 3 เดือน เพื่อเป็นการการันตีความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เพิ่มความปวดหัวให้ตัวบุคคลและองค์กรไปพร้อมๆ กัน

ศูนย์วิจัยเทเลนอร์คาดการณ์ว่า บริษัทหรือองค์กรต่างๆ จะนำโซลูชั่นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เอื้อให้ผู้ใช้งาน ใช้งานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น และยังคงระดับความปลอดภัยเช่นเดิม

ไม่ว่าจะเป็น โซลูชั่นที่ใช้สำหรับการจัดการพาสเวิร์ด (Password manager) หรือการใช้อัตลักษณ์บุคคล (Biometric) เพื่อการยืนยันตัวเอง เช่น ลายนิ้วมือ การสแกนม่านตา แทนการจดจำพาสเวิร์ด ส่งผลให้โซลูชั่นต่างๆ เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น

เทรนด์ที่ 4 โลกการทำงานเข้าสู่ยุค Society-as-a-service

ปีที่ผ่านมา มนุษย์ออฟฟิศต่างเผชิญกับเทรนด์สำคัญที่เรียกว่า Work From Home ซึ่งเกิดขึ้น “ทั่วทุกที่” และ “ทันทีทันใด” จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้วิถีการทำงานเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยมีปัจจัยด้าน “ความสามารถในการปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่น” เป็นหัวใจสำคัญ

ศูนย์วิจัยเทเลนอร์คาดการณ์ว่า โลกแห่งการทำงานในปีนี้จะเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า Society-as-a-service ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของการอำนวยความสะดวกด้านปัจจัยพื้นฐานในการทำงานให้แก่พนักงาน พนักงานจึงทำงานจากที่ไหนก็ได้ และในอนาคต เราจะได้เห็นจุดให้บริการฟรีอินเทอร์เน็ต ห้องประชุมงานในที่สาธารณะหรือร้านกาแฟมากขึ้น

หน่วยงานท้องถิ่นก็จำเป็นจะต้องเสริมพื้นที่เพื่อให้บริการดังกล่าวมากขึ้น เช่น ห้องสมุดสาธารณะ ซึ่งในความเป็นจริง แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว แต่ให้บริการโดยเอกชน เช่น ร้านกาแฟ

ขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนควรเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง

  • 1) ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity)
  • 2) สุขอนามัยทางดิจิทัล (Digital hygiene)
  • 3) เครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานแบบ Remote working

อย่างไรก็ตาม การจะก้าวสู่โลกการทำงานแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบได้นั้น สิ่งสำคัญคือ การปรับวิธีคิดหรือ Mindset ของพนักงานให้สามารถปรับตัวและยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ ดังนั้น บริษัทควรคำนึงถึงการเพิ่มพูนทักษะหรือ upskilling ทั้งในระดับองค์กรและบุคคลด้วย

เทรนด์ที่ 5 โควิด-19 เร่ง EdTech ให้มาเร็วขึ้น

จากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของโลก พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ประเด็นนี้ ยูนิเซฟระบุว่า เด็กนักเรียนทั่วโลกจำนวนกว่า 1,600 ล้านคน ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงเรียน อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการระบาด โดยเด็กนักเรียนในประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบหนักที่สุด และยังมีจำนวนวันเข้าเรียนน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างมีนัยสำคัญ

แม้โรงเรียนต่างๆ จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ทดแทน แต่การเรียนแบบออนไลน์ยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา โดยประเทศที่มีรายได้สูง มีสัดส่วนของเด็กและเยาวชนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ถึง 87% ส่วนประเทศที่มีรายได้ต่ำมีสัดส่วนเยาวชนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เพียง 6% เท่านั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจึงรุนแรงและจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2564

ศูนย์วิจัยเทเลนอร์มองว่า โลกจะได้เห็น EdTech หรือ เทคโนโลยีทางการศึกษา ที่เข้ามาเติมเต็ม สร้างสรรค์ และทำให้การเรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้วิกฤตการณ์โควิด-19 จะจบลงในอนาคต แต่ความต้องการของผู้บริโภคจะมีมากขึ้น ทั้งยังเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านภูมิทัศน์แห่งโลกการเรียนการสอนสู่โลกดิจิทัลมากยิ่งขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการอุบัติขึ้นของนวัตกรรมทางการศึกษาเปรียบเสมือนทางสองแพร่ง เมื่อ “การเข้าถึง” ประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิทัลยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อย ขณะที่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงจะได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษายิ่งถ่างกว้างขึ้นหลังจากนี้

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา & โลกร้อน เรื่องใหญ่ที่ชาวโลกต้องช่วยกันแก้

วิกฤตโควิด-19 กระตุ้นให้เกิดการปรับตัวการทำงานและการดำรงชีวิตสู่ดิจิทัลในเกือบทุกอุตสาหกรรมทั่วโลกในอัตราเร่ง ขณะเดียวกัน ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัลในการรับมือกับปัญหาทางสังคมต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษา

อันที่จริง ก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาด ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในระดับโลก มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น โดยบียอนให้ข้อมูลว่า เป็นเรื่องดีที่จำนวนเด็กซึ่งไม่ได้รับการศึกษาลดลงเรื่อยๆ จาก 26% เป็น 17% แต่เมื่อเกิดโรคระบาดทำให้เด็กไม่ได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้น สถานการณ์ด้านการศึกษาในส่วนที่ไม่มีความพร้อมจึงแย่ลง

“แม้เด็กจะเข้าถึงเน็ตได้จากที่บ้าน แต่ก็มีเด็กจำนวนมากได้รับผลกระทบใหญ่กว่าที่คิด เนื่องจากถูกตัดขาดจากการศึกษาไปเลย ทำให้เด็กพลาดโอกาสทางการศึกษา“

บียอนยกเคสเด็กไทยที่ต้องไปนั่งนอกบ้าน ตากฝนทำการบ้าน เพราะในบ้านไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต และบอกด้วยว่า “ผลกระทบด้านการศึกษานี้จะกระเทือนไปอีกหลายเจเนอเรชั่น”

“ทุกอย่างจะเข้าสู่โลกดิจิทัลทั้งหมด ทุกภาคส่วนต้องช่วยแก้ปัญหา ซึ่งถ้ามองในเรื่องดี โรคระบาดทำให้เราเห็นปัญหาชัดเจนขึ้นและทำให้เราต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน”

ทุกค่ายโอเปอเรเตอร์ต่างก็เร่งพัฒนาสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น สำหรับ เทเลนอร์กรุ๊ป ก็เร่งพัฒนาสัญญาณเพื่อสนับสนุนการทำงาน การเรียนระยะไกล การติดต่อสื่อสารของผู้คนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงช่วยดูแลความปลอดภัยในโลกไซเบอร์

Bjørn Taale Sandberg, SVP and Head of Telenor Research

“เนื่องจากผู้คนคาดหวังว่าจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา บทบาทของดีแทคก็จะมีสำคัญมากกว่าในอดีต และอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นเรื่อง Need to have สิ่งที่ต้องมีเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการใช้งานได้เสมอ”

นอกเหนือจากนี้ บียอนยังเผยถึงสิ่งที่บริษัทดำเนินการอยู่เพื่อร่วมแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นการปิดท้าย

“วัคซีนจะช่วยให้โรคระบาดมีจุดจบ แต่โลกร้อน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจะยังคงอยู่ต่อไป เป็นเรื่องด่วนที่เราต้องร่วมกันแก้ไข ใช้เทคโนโลยีและ GreenTech เข้าช่วย โดยหนึ่งในสิ่งที่ดีแทคทำอยู่ในตอนนี้ก็คือ GreenTech Radio ที่มีการนำ AI มาทำนายปริมาณการใช้ Data แล้วให้ระบบควบคุมการปิดเปิดเพื่อลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด”

แหล่งข้อมูล
https://www.salika.co/2021/01/27/telenor-5-tech-trends-2021/


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210