หุ่นยนต์ทำความสะอาดก้าวเข้าสู่ Gen 3 ใช้ IoT เต็มรูปแบบ

Loading

หุ่นยนต์ทำความสะอาดก้าวเข้าสู่ Gen 3 ใช้ IoT เต็มรูปแบบ ด้านธุรกิจอสังหาฯ อัจฉริยะครบวงจร แนะภาครัฐเตรียมกฎหมายรองรับเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

หากพูดถึงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะในยุคปัจจุบัน ภาพของหุ่นยนต์ทำความสะอาดแบบมืออาชีพ (Professional Cleaning Robots) เริ่มเป็นที่คุ้นตาในอาคารหลายแห่งในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้นในตลาดโดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่ทำให้ความต้องการหุ่นยนต์ทำความสะอาดเพิ่มขึ้นหลักๆ จะมาจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ประชากรโลกเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมากขึ้น และความต้องการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นในขณะที่ต้นทุนต้องลดลง

Metthier ผู้ดำเนินธุรกิจการให้บริการการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะแบบครบวงจร (Smart Facility Management) เผยข้อมูลพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจหุ่นยนต์ทำความสะอาดไว้ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพัฒนาการของหุ่นยนต์ที่ยังต้องทำงานร่วมกับคนไปสู่หุ่นยนต์เจเนอเรชั่น 3 (Gen3) ที่พัฒนาสู่ Internet of Things คือ สามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องมีคนควบคุม โยงถึงพัฒนาการของรูปแบบธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น Robot as a Service (การเช่าใช้หุ่นยนต์บริการ) รวมถึงข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับการเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบในอนาคต 

พัฒนาการของหุ่นยนต์ทำความสะอาดจากรุ่นสู่รุ่น

การพัฒนาหุ่นยนต์ทำความสะอาดแบ่งกว้างๆ ได้ 3 ยุค

ยุคแรก คือยุคที่หุ่นยนต์ทำตามคำสั่งที่ป้อนโดยมนุษย์ โดย Electrolux นำหุ่นยนต์ทำความสะอาดเข้าสู่ตลาดครั้งแรกของโลกในปี 2539 ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดที่ยังต้องใช้รีโมทคอนโทรลในการสั่งงาน ยุคนี้ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดของหุ่นยนต์ยังไม่ค่อยดีนักและราคาค่อนข้างสูง หุ่นยนต์ทำความสะอาดในยุคนี้จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ยุคที่สอง (ยุคปัจจุบัน) คือยุคที่หุ่นยนต์ฉลาดมากขึ้น สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ มีฟีเจอร์ที่จะตรวจจับวัตถุและคนได้ หุ่นยนต์ในยุคที่สองนี้ถูกพัฒนาโดยมีการนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้ามาร่วมด้วย แต่แม้ว่าหุ่นยนต์สามารถทำความสะอาดเองได้ แต่ยังมีข้อจำกัดหลายประการเช่น ยังไม่สามารถประเมินประเภทพื้นผิวในการเลือกการทำความสะอาดที่เหมาะสมได้เอง เป็นต้น หุ่นยนต์ยุคนี้จึงยังจำเป็นต้องทำงานร่วมกับคนอยู่

ยุคที่สาม เป็นยุคที่เชื่อว่าจะมาถึงในไม่ช้านี้ คือยุคที่หุ่นยนต์ถูกพัฒนาเข้ากับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) สามารถสร้าง 3D Mapping ทำให้หุ่นยนต์สามารถคิดและตัดสินใจประมวลผลในการทำงานเองได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดเช่น เมื่อหุ่นยนต์เห็นเศษขยะ หรือน้ำหก หุ่นยนต์ก็สามารถตามไปเก็บทำความสะอาดได้เองทันที หรือปรับโหมดการทำความสะอาดให้เข้ากับแต่ละพื้นผิวได้เอง เป็นต้น ซึ่งหากทำได้จริง เชื่อว่าจะเป็นการเปลี่ยนโฉมวงการหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการทำความสะอาดแน่นอน

การเตรียมพร้อมด้านกฎหมายเพื่อรองรับการมาของเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Fully-automated)

ประเด็นด้านกฎหมายนี้เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น การพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไร้คนขับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยี IoT ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ธุรกิจยานยนต์เท่านั้น

ปัจจุบันมีบริษัทในประเทศจีนที่นำเทคโนโลยีของรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) มาใช้กับหุ่นยนต์ทำความสะอาดและได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้หุ่นยนต์ทำความสะอาดวิ่งบนถนนและพื้นที่สาธารณะได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว รัฐบาลจึงควรวางแผนเตรียมปรับปรุงกฎหมายให้พร้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในอนาคต หากเราเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายให้เอื้อต่อการพัฒนาหุ่นยนต์เชิงพาณิชย์ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาต่อยอดหุ่นยนต์บริการอย่างต่อเนื่องและดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติอย่างมหาศาล แต่หากกฎหมายล้าสมัยจนผู้ประกอบการไม่สามารถที่จะนำเทคโนโลยีมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ อาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวได้

แหล่งข้อมูล

https://www.posttoday.com/smart-life/708229


Smart City Thailand : 02 054 7755
Contact us : thunya.b@gmail.com | thunya@securitysystems.in.th

© smartcitythailand 11 โกสุมรวมใจ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210